"พวงทอง ภวัครพันธุ์" ถามทะเลาะกันทำไม?

จากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2556

"พวงทอง ภวัครพันธุ์" ถามทะเลาะกันทำไม-มองทะลุปมขัดแย้งร่างพรบ.นิรโทษกรรมฯ

 หมายเหตุ :  รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก http://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/ เนื้อหาระบุถึงกรณีความขัดแย้งและวิวาทะที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนร่างพรบ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับ วรชัย เหมะ กับร่างพรบ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับประชาชน มีเนื้อหาดังนี้

ทะเลาะกันไปทำไม

หลายคนคงรู้สึกเหมือนเราว่า เวลาเห็นเพื่อน ๆ ในแวดวงคนทำงานการเมืองซึ่งมีแค่หยิบมือเดียว ทะเลาะกันเองแล้ว เศร้า

กรณีล่าสุดก็ได้ทำให้คนหลายคนต้องเลิกคบกันไปแล้ว เรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมน่ะเอง

ไม่ได้จะดราม่า แต่อยากชวนให้มองด้านดีของกันและกันให้มากขึ้น

กลุ่มปฏิญญาหน้าศาลที่นำโดย อ.หวาน สุดา รังกุพันธ์ ได้รณรงค์-เรียกร้อง-ต่อสู้ให้นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองมาร่วมปีอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย จัดเสวนาหน้าศาลอาญาทุกวันอาทิตย์ จัดเลี้ยงข้าวนักโทษที่หลักสี่ทุกวันเสาร์ แวะไปเยี่ยมนักโทษ 112 ที่บางขวางเป็นประจำ เป็นศูนย์กลางที่พึ่งทั้งทางใจและทางกายให้กับทั้งนักโทษการเมืองและครอบครัวของพวกเขา

เมื่อครั้งที่ไปเยี่ยมนักโทษการเมืองที่คุกหลักสี่ เรายังจำแววตาที่ปนเปไปด้วยความหวัง ความไม่แน่ใจ ความเศร้าเหล่านั้นได้ดี โดยเฉพาะสายตาของ ปัทมา มูลมิล (อายุ 24 ปี) กับธีรวัฒน์ สัจสุวรรณ (22 ปี) พวกเขาดูเด็กมาก โทษจำคุก 34 ปีมันมากมายเกินไปสำหรับพวกเขา ปัทมาซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในคุกหลักสี่ เคยเครียดจนคิดจะฆ่าตัวตาย เรายังได้เจอกับญาติของนักโทษในที่อื่นๆอีก พวกเขาพูดถึงคนที่ตนรักที่ยังติดคุก ด้วยน้ำตาอาบหน้าทุกที

นาน ๆ ทีเราจึงจะได้พบกับพวกเขา แต่เราก็กลับบ้านด้วยความเศร้าทุกที แต่ อ.หวานและเพื่อนใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ได้รับรู้ถึงความทุกข์ของพวกเขาอย่างใกล้ชิด กลายเป็นความผูกพัน เป็นภาระหน้าที่ที่ต้องทำ และนี่เองที่เราเชื่อว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้ อ.หวาน กลายเป็นผู้นำผลักดันเรื่องนิรโทษกรรมอย่างจริงจัง ผลักดันด้วยความหวังที่จะได้เห็นพวกเขาได้ออกมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง ได้กอดกัน ได้กินข้าวด้วยกันแบบครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง

ความหวังที่ดูห่างไกลในช่วงปีที่ผ่านมา เริ่มปรากฏเป็นจริงมากขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศในเดือนเมษายนว่าจะบรรจุร่างฉบับวรชัย เข้าเป็นวาระเร่งด่วนเมื่อเปิดสภา นักโทษในคุกหลักสี่ต่างก็รับรู้ข่าวนี้กันทั้งนั้น ครั้งที่เราไปเยี่ยมพวกเขา ดวงตาเขาฉายแววความหวังอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งใกล้เปิดสภา ความหวังก็ดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล ดูจะสนใจอยู่กับการปลดปล่อยนักโทษการเมืองเท่านั้น ยิ่งผูกผันมาก ก็ยิ่งอยากเห็นพวกเขาเป็นอิสระโดยเร็วมากขึ้น เรื่องอื่นไม่สำคัญ ไว้ว่ากันทีหลัง ขอเอานักโทษออกมาก่อน

คงเป็นด้วยอารมณ์เช่นนี้เอง เมื่อกลุ่มญาติเสนอร่างนิรโทษกรรมของตนเองออกมา กลุ่มปฏิญญาหน้าศาลจึงตั้งตัว ตั้งสติไม่ทัน กลัวว่าทุกอย่างจะช้าไปอีก จึงปล่อยคำพูดที่ทิ่มแทงความรู้สึกกลุ่มญาติแบบไม่เกรงใจกัน เพียงหวังว่าจะปกป้องให้กระบวนการเดินไปแบบไม่มีอะไรมาสะดุดขาอีก แต่ยิ่งตอบโต้กัน คำพูดก็ยิ่งแรงขึ้นๆ จนกลายเป็นการเหยียบย่ำผู้ตาย

การหมกมุ่นอยู่กับเป้าหมายของตนเองมากเกินไป อาจทำให้พวกเขาลืมนึกถึงหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่เห็นลูกของตนถูกยิงทิ้งอย่างอำมหิตด้วยฝีมือทหาร แต่กลับมองว่าการไม่ยอมเลิกรากับคนที่มีส่วนร่วมในการฆาตกรรม เป็นความยุ่งยาก เจ้าปัญหา

แท้ที่จริงแล้ว หากเราหันไปดูตัวอย่างของบางประเทศ ที่ประสบความสำเร็จกับการเอาเผด็จการทหารลงมารับโทษอาญาอย่างสาสมกับความผิดของตนนั้น เราจะพบว่าพลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น คือ ความรักอันยิ่งใหญ่ที่พ่อแม่มีต่อลูกนั่นเอง

อาร์เจนตินาคือกรณีตัวอย่างที่ดีที่สุด เมื่อเผด็จการทหารขึ้นครองอำนาจในปี 1976 พวกเขาทำ สงครามสกปรก” (Dirty War) ด้วยการอุ้ม-ฆ่า (forced disappearance) คนหนุ่มสาวกว่าสามหมื่นคน คนที่ออกมาป่าวประกาศให้สังคมอาร์เจนตินาและทั่วโลกได้รับรู้ถึงเรื่องราวของสงครามสกปรกนี้ก็คือ บรรดาแม่ๆ (ที่มีพ่อสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง) พวกเขาเริ่มด้วยการนัดเดินขบวนหน้าจัตุรัสเมโย ใกล้ทำเนียบรัฐบาลทุกวันพฤหัสบ่าย 3 โมง จากไม่กี่สิบคน กลายเป็นหลายร้อยคน พวกแม่จะมีผ้าสีขาวโพกหัว อันเป็นสัญลักษณ์ของผ้าอ้อมเด็ก การเคลื่อนไหวได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกมากขึ้นเมื่ออาร์เจนตินาเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 1978

แม้ว่าผู้นำ 3 คนของ ขบวนการแม่แห่งจัตุรัสเมโยจะถูกทหารอุ้มฆ่าไปด้วย แต่คนที่เหลือก็ไม่ยอมละเลิก จนกระทั่งระบอบทหารหมดอำนาจลงจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1984 แม่แห่งจัตุรัสเมโยก็ยังเดินหน้าเรียกร้องให้รัฐบาลพลเรือนสืบค้นหาความจริงและนำผู้นำทหารมาลงโทษให้ได้

ในที่สุด ในปี 1985 ผู้นำทหารหลายคนถูกนำขึ้นพิจารณาคดี แต่กองทัพขู่ว่าจะทำรัฐประหาร ผลปรากฏว่ารัฐบาลยอมถอย สภาคองเกรสออกกฎหมายให้ยุติการพิจารณาคดีทั้งหมด หรือเท่ากับให้อภัยโทษนั่นเอง

แม่จำนวนหนึ่งหมดเรี่ยวแรง เลิกราไป แต่ก็ยังมีแม่ที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ พวกเขาต่อสู้ต่อไปจนกระทั่งในปี 2003 สภาคองเกรสลงมติยกเลิกกฎหมายอภัยโทษ และในปี 2005 ศาลสูงมีความเห็นว่ากฎหมายอภัยโทษขัดกับรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้การพิจารณาคดีผู้นำทหารเริ่มขึ้นอีกครั้ง หลายคนถูกตัดสินจำคุกหลายสิบปี

การต่อสู้ที่ใช้เวลายาวนานถึงสามทศวรรษนี้ หากไม่ใช่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของคนเป็นพ่อแม่ ก็คงยากจะยืนหยัดอยู่ได้

สังคมไทยผ่านโศกนาฏกรรมมาหลายครั้ง คนบริสุทธิ์สูญเสียชีวิตไปโดยไม่สามารถเรียกร้องความยุติธรรมใด ๆ ให้พวกเขาได้ หากใครได้เคยพบเจอพ่อแม่ของคนหนุ่มสาวที่เสียชีวิตในช่วง 14 ตุลา, 6 ตุลา, และพฤษภา 35 ก็คงได้รับรู้ถึงความขมขื่นที่ยังฝังแน่นในใจพวกเขาอยู่ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ เพราะชนชั้นนำได้ร่วมมือกันออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตนเองไปแล้ว

แต่ในกรณีเมษา-พฤษภา 2553 สิ่งนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น และเราต้องไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นง่ายๆ อีกต่อไป หากพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตยังไม่หมดเรี่ยวแรงในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมให้กับครอบครัวของพวกเขา พวกเรามีหน้าที่ที่จะต้องสนับสนุน


กฎหมายนิรโทษกรรมต้องไม่เพียงช่วยเหลือนักโทษการเมืองที่เป็นชาวบ้านให้พ้นจากการจองจำ แต่มันต้องสามารถป้องกันไม่ให้อาชญากรรมโดยรัฐมีโอกาสเกิดขึ้นในประเทศนี้ได้อีก