นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. โพสต์ข้อความทางเฟซบุค "นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" กรณีองค์กรอิสระ ระบุว่า การออกแถลงการณ์ของ ศอ.รส. มีลักษณะคุกคามก้าวล่วงการใช้ดุลยพินิจ โดยเลขาธิการ นปช. ระบุว่า ขอให้ทั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และ กกต. ลองไตร่ตรองบทบาทตนเอง แล้วสรุปให้ได้ว่าเป็นจริงหรือเพียงข้อกล่าวหาจากอคติของ ศอ.รส. นอกจากนั้น ยังเตือนถึงความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ในสถานการณ์นี้ด้วย
“มีปฏิกริยาทั้งจากศาลรัฐธรรมนูญป.ป.ช. และ กกต. ต่อแถลงการณ์ ศอ.รส. สาระสำคัญประมาณว่าหน่วยงานของฝ่ายบริหารคุกคามกดดันการทำงานขององค์กรอิสระและฝ่ายตุลาการ
ประเด็นจะชัดเจนเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าถ้าองค์กรทั้งสามจะพิจารณาบทบาทตัวเองก่อนเปิดฉากตอบโต้
ผมเชื่อว่าคนไทยจำนวนมากเห็นตรงกับศอ.รส.ว่า ทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งบานปลายคือความยุติธรรมเกิดขึ้นกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม
ทั้งสามองค์กรได้ปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาสร้างความมั่นใจให้กับสังคมหรือไม่?
การจัดการเลือกตั้งซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นทางออกอย่างสันติกลับยังไม่เห็นอนาคตเพราะกกต. ทำตัวเป็นปัญหาเสียเอง
การเลือกทำคดีฝ่ายหนึ่งแบบติดจรวดแต่อีกฝ่ายหนึ่งมากด้วยข้ออ้างให้เชื่องช้าเกิดขึ้นที่ปปช.
ถ้าพูดถึงการละเมิดรัฐธรรมนูญส่วนตัวผมเห็นว่าที่ผ่านมาไม่มีองค์กรไหนหนักหนาสาหัสเท่าศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้
ตัดสินกรณีแบบเดียวกันออกมาคนละอย่างไม่ยึดโยงกับคำวินิจฉัยในอดีต ตีความรัฐธรรมนูญขยายอำนาจตัวเองลดอำนาจองค์กรอื่นจนเรียกหามาตรฐานใดๆ ให้อ้างอิงไม่ได้
สิ่งเหล่านี้ทั้งสามองค์กรลองไตร่ตรองดูด้วยตัวเองไม่ต้องรับธงจากใครแล้วสรุปให้ได้ว่าเป็นจริงหรือเพียงข้อกล่าวหาจากอคติของศอ.รส.
เมื่อรู้สึกว่าถูกแทรกแซงท่านแสดงออกทันทีว่าเป็นเขตอำนาจหน้าที่ แล้วรัฐสภาที่ถูกแทรกแซงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลถูกก้าวล่วงเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการท่านเคยพิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้บ้างไหม?
หรือจะให้เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญเลือกตีความอย่างไรก็ได้แต่องค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญต่างหากที่แตะต้องไม่ได้?
หลายคนเขาเป็นห่วงแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ขอบิณฑบาตท่านไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติในการปฏิบัติหน้าที่บ้างเลยหรือ?
ท่านอาจเลี่ยงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำนอกอำนาจหน้าที่ได้เพราะเส้นใหญ่แต่ไม่มีใครปฏิเสธความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในสถานการณ์แบบนี้ไปได้แน่
ผมมั่นใจ”
