"แถลงข่าวถลกหนังเทิอก" ณัฐวุฒิเปิดโผนายกฯ คนกลาง (ชมคลิป)










เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 24 มี.ค. ที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวในรายการถลกหนังเทือก ว่า ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าการเลือกตั้งโมฆะ แต่ชี้ว่าใครผิดไม่ได้เพราะต้องคุ้มครองเครือข่ายอำมาตยา หากมีการเลือกตั้งใหม่ นายจตุพรไม่ลงเลือกตั้ง เพราะจะตกอยู่ภายใต้กติกาหยุมหยิมของกกต. อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการเลือกตั้งไม่มีทางสำเร็จได้หากยังยึดคำวินิจฉัยของศาลรับธรรมนูญ ส่วนประเด็นนายกฯ คนกลาง ไม่มีกฎหมายใดให้ประธานวุฒิสภายื่นทูลเกล้าฯ ได้ เพราะเป็นอำนาจของรัฐสภา และนายกฯ ต้องมาจากสภาผู้แทนฯ เท่านั้น

 “วันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นศาลคดีสลายการชุมนุม และศาลเลื่อนตรวจสอบพยานหลักฐานออกไปเป็นวันที่ 23 มิ.ย. ถามว่าการไต่สวนการพิจารณาในชั้นของป.ป.ช.จะวินิจฉัยอย่างไร เมื่อศาลอาญาตัดสินว่าการตายของ 6 ศพ วัดปทุมฯ เกิดจากคำสั่ง ศอฉ. คดีทางวินัยเรื่องสั่งชอบหรือไม่ชอบก็ว่าไป แต่คดีการสั่งฆ่าเป็นอำนาจศาลอาญาและคดียังมีอายุความในป.ป.ช. หากป.ป.ช.ปล่อยอภิสิทธิ์และสุเทพ เทือกสุบรรณ ให้ไม่มีความผิด ประเทศนี้ก็จะยิ่งอยู่ยาก องค์กรอิสระเหล่านี้เหมือนทีวี อำมาตย์เหมือนรีโมตที่จะเลือกช่องไหนก็ได้ กดเคลื่อนได้ตามความต้องการ” นายจตุพร กล่าว

 ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า รวบรวมรายชื่อคนที่คิดว่าจะมาเป็นนายกฯ คนกลางของนายสุเทพ โดยแบ่งหมวดหมู่เป็นกลุ่มตัวเต็ง กลุ่มตัวสอดแทรก และกลุ่มม้ามืด เพื่อทวงถามความเป็นธรรมให้กับสังคมไทย หลังจากนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งถูกจับไปโขกสับบนเวที กปปส.มาตลอด 5 เดือน ดังนั้น เมื่อนายสุเทพจะเอาคนดีมาเป็นนายกฯ ให้ประชาชน ประชาชนจึงควรมีสิทธิ์พิจารณาว่าใครเป็นใคร แต่ไม่ได้กล่าวหาหรือให้ร้ายว่าท่านเหล่านี้เป็นปฏิปักษ์ของประชาธิปไตยแต่อย่างใด และจะไม่ขอเรียกว่านายกฯ มาตรา 7 หรือนายกฯ คนกลาง แต่จะขอเรียกว่านายกฯ เถื่อน เพราะเป็นนายกฯ นอกกฎหมาย

 นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ในกลุ่มตัวเต็ง 3 คนนั้น เต็งสามได้แก่ นายอานันท์ ปัณยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีมา 2 สมัย และมาโดยวิธีนอกกติกามาตลอด ได้รับเงินหลายร้อยล้านในการทำแผนปฏิรูปประเทศไทย แต่ปัจจุบันไม่เห็นผลอะไร ปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในแวดวงธุรกิจโดยเฉพาะธนาคารยักษ์ใหญ่ เคยชวนนายแบงก์ไม่ให้สนับสนุนโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เต็งสองได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ทบ.ยุครัฐบาลทักษิณ หลังรัฐประหารได้รับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นพี่ใหญ่ในทหารกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ มีบทบาทสำคัญในการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 และในช่วงเปลี่ยนขั้วทางการเมืองสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งตั้งขึ้นในค่ายทหาร นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้ประสานงานของผู้นำระดับสูงของซีกข้างรัฐบาลและซีกข้างผู้ชุมนุมเพื่อตกลงให้เกิดสูตรใหม่ทางการเมืองให้ได้

 “ส่วนเต็งหนึ่ง คือ นายพลากร สุวรรณรัฐ พ่อเป็นคน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมรราช เติบโตในกระทรวงมหาดไทย เคยเป็นเลขาธิการศอ.บต. และผู้ว่าฯ หลายจังหวัด มีความสนิทสนมกับนักการเมืองหลายฝ่าย แต่สนิทแนบแน่นกับพรรคประชาธิปัตย์ มีรายงานว่าช่วงต้นการชุมนุม กปปส. เคยนัดพบกับนายสุเทพที่แปซิฟิกคลับ ซึ่งเป็นที่ที่นายสุเทพมีบารมีมาก นอกจากนี้เครือข่ายสายมหาดไทยที่เคลื่อนไหวร่วมกับนายสุเทพ ก็เป็นสายเดียวกับนายพลากร สถานะของนายพลากรแม้จะเป็นองคมนตรีก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค หากดูจากหน้าประวัติศาตร์ สามารถลาออกมารับตำแหน่งได้

 นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า กลุ่มสอดแทรกได้แก่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เคยเป็นผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ หลังรัฐประหารมาทำหน้าที่รองนายกฯ สมัยรัฐบาลสุรยุทธ ควบตำแหน่งรมว.คลัง เป็นคนยืนได้ทุกที่ไม่ว่าการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างไร คือ หาจุดยืนไม่ได้ ผลงานที่ทำให้คาดว่าจะได้เป็นนายกฯ เถื่อน มาจากท่าทีที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์โครงการรับจำนำข้าว ตัวสอดแทรกอีกคนหนึ่ง คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เคยเป็นที่ปรึกษาบริษัทในเครือชิน คอร์ปอเรชั่น เป็นรัฐมนตรีและรองนากยกฯ ในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยมาตลอด แต่บทบาทขณะนี้เดินสายติดต่อกับฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตย

 ส่วนกลุ่มม้ามืด ได้แก่ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เคยเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติสมัยรัฐบาลทักษิณ และอยู่ในวงเจรจาปรองดองหลังเหตุการณ์พฤษภา 2553 นายอาสา สารสิน ลูกชายของนายพจน์ สารสิน อดีตนายกฯ อดีตรมว.การต่างประเทศในสมัยรัฐบาลอานันท์ มีบทบาทในภาคเอกชนหลายแห่ง และคนสุดท้าย นายวิกรม กรมดิษฐ์ ผู้บริหารภาคธุรกิจที่ต้องจับตามอง

 ส่วนอีกคนมีคนพยายามยัดเยียดให้เป็นอัศวินม้าขาว คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. แต่ก็ยังชื่นใจที่ท่านยืนยันว่าจะไม่รับสัญญาณจากใคร และสุดท้ายที่อันตรายมากเรียกว่า ตัวกระเสือกกระสน แสดงออกชัดมากว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรี คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

 “หากมีความคืบหน้าของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ว่ามีน้ำหนักเพิ่มลดจะมีการจัดอันดับใหม่อีกครั้ง ส่วนตัวไม่รู้สึกกังวลว่าการพูดแบบนี้จะเกิดความเสียหายหรือไม่ เพราะไม่ได้กล่าวหาใคร ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมาชัดเจน และหากทุกท่านพร้อมใจกันปฏิเสธ จะได้ชัดเจนว่าวิธีการอย่างนี้ไม่มีใครต้องการ และขออย่าได้คิดว่าผมไปรุกรานหรือเป็นศัตรูกับท่าน เพราะไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง นอกจากต้องการให้ประเทศเดิหน้าด้วยระบอบประชาธิปไตย” แกนนำ นปช. กล่าว


ที่มา ข่าวสด