พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล เผยเบื้องหลังมติให้สส.ปชป.ที่ไม่เห็นด้วยกับการบังคับลาออกวอล์กเอาท์ - ลั่นไม่ขอยุ่งกับ "มาร์ค" อีก



เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อ “พิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล” ต่อกรณีการลาออกจากส.ส. โดยมีข้อความว่า “โทรสารด่วนวันนี้ ... ไม่ครับ” พร้อมกับแนบภาพซึ่งเป็นโทรสารจากพรรคประชาธิปัตย์ ลงวันที่ 8 ธ.ค. 2556 เรื่องแสดงความประสงค์การลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. 2556 เป็นต้นไปนั้น โดยความคิดเห็นใต้ภาพดังกล่าว นายพิเชษฐ์ ก็ได้ระบุเพิ่มเติมว่า “วันนี้ไม่มีสถานะให้ลาแล้วครับ”

ขณะเดียวกัน ก็มีผู้มาร่วมแสดงความคิดเห็นไม่สนับสนุนการลาออกของนายพิเชษฐ์ โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Teerakiat Wechmongk…” แสดงความคิดเห็นว่า “อย่าเพิ่งออกเลยครับ บ้านเมืองยังต้องการคนดีอยู่ เป็นกระบอกเสียงให้ประชาชน”

นอกจากนี้ ถ้าย้อนไปในวันที่ 11 ธ.ค. นายพิเชษฐ์ ยังได้โพสต์ข้อความถึงการเขียนบทกลอนของตัวเองในชื่อ “กำแพงประวัติศาสตร์เมืองกระบี่” ที่ดำเนินมาถึงตอนที่13 โดยระบุตอนหนึ่งว่า “ต่อไปแล้วแต่โอกาส อาจไปได้เร็ว เพราะเป็นคนว่างงานแล้ว และอาจว่างตลอดไป”

รวมถึงในวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา ก็โพสต์ข้อความต่อสถานการณ์ทางการเมืองเช่นกันว่า “วันนี้วันที่ 30 พ.ย. ตามที่สัญญาไว้ คิดว่าไปสัก 4-5 วัน เหตุการณ์การเมืองอาจคลี่คลายดีขึ้น แต่จนวันนี้กลับคับขัน ร้ายแรงขึ้นกว่าเดิม …ไม่อยากเห็นชีวิตประชาชนถูกเอามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และผมมีสัญชาตญาณทางการเมืองที่ค่อนข้างแม่นยำ” ซึ่งในวันที่ 30 พ.ย. เป็นวันเดียวกับที่นายสุเทพ ประกาศให้วันที่ 1 ธ.ค. เป็นวันชัยชนะของมวลมหาชนแต่ก็เลื่อนประกาศชัยชนะออกไป

ทั้งนี้ จากการสอบถามพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล เปิดเผยว่า การที่ตนแสดงความคิดเห็นว่าไม่ลาออกนั้น เพราะตนเพิ่งจะได้เอกสารการแสดงความประสงค์ลาออกวันที่ 13 ธ.ค. ซึ่งก็พ้นหลังวันยุบสภาไปแล้ว ถ้าตนเซ็นไปจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อไม่มีสถานะให้ลาออกแล้ว ขณะเดียวกันในวันที่มีมติส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกนั้น ตนก็ไม่ได้ไปเข้าร่วมประชุม และไม่ได้รับเชิญ จึงไม่รู้เรื่องนี้

และเท่าที่ทราบมติวันนั้นก็อาจไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ที่ส.ส.ของพรรคต้องการลาออก หรือจะพูดอีกอย่างคือ คนที่ไม่เห็นด้วยกับการลาออก เขาเดินออกจากห้องประชุม จึงเหลือเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นมติอยากลาออกนั่นเอง และสมมติถ้าตนอยู่ร่วมประชุมวันนั้น ก็คงไม่คิดลาออกอยู่ดี เพราะไม่เห็นด้วยที่เราเป็นส.ส.เขต มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจะมาลาออกแบบนี้ ได้ประโยชน์อะไร ซึ่งนายวิรัตน์ กัลยาศิริ อดีตส.ส.สงขลา ก็คิดเช่นเดียวกัน

จะมาอ้างว่าไม่ลาออก ไม่เป็นเอกลักษณ์เหมือนกัน มันไม่ใช่ ตนยอมรับว่าการเมือง สังคมทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนเก่า ตนไม่อยากเห็นคนตายอีก เพราะผ่านอะไรมาก็เยอะ เห็นคนตายก็เยอะ รวมถึงต้องเห็นคนเจ็บ คนพิการ ที่ต้องใช้ชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ ก็หนักใจแล้ว จึงไม่อยากให้การเมืองใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเกิดขึ้นซ้ำ

เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินผิดทางหรือไม่ นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ต้องบอกว่าเป็นแค่คนบางคนต่างหาก ที่เดินผิดทาง ซึ่งเขาก็อาจจะพาพรรคดี หรือเสียทั้งพรรคก็ได้ ทางออกไม่ใช่การปฏิรูปพรรคแน่นอน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากโครงสร้าง โครงสร้างพรรคก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไร แต่ที่เป็นปัญหาคือ ตัวคน ตัวผู้เลือกและผู้สมัคร มากกว่า

แต่ทางที่พรรคเดินขณะนี้ เปรียบเทียบกับที่มีคนเคยมีคนกล่าวไว้ว่า ถ้าเมื่อใดที่เราเจอกำแพงใหญ่ ถ้าจำเป็นต้องข้ามกำแพงก็มีอยู่ 3 วิธี 1.ปีน 2.ขุดลอก 3.ค่อยๆเคาะกำแพง ไม่ใช่มีพฤติกรรมเป็นนักวิ่งชนกำแพงเหมือนคนในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถ้ายังนิยมเป็นนักชนก็ต้องแพ้ยับเยินตลอดเวลา ในที่สุดก็โกรธแค้น ประกาศลาออกจากส.ส. แล้วจะกลับเข้ามาอีก ทั้งที่บอกเองว่าไม่เอาการเลือกตั้ง

“ผมก็ไม่อยากว่าอะไรคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมก็ยังคิดเหมือนเดิมที่เคยต่อว่าเขาตรงๆ ผ่านเฟซบุ๊กผม ที่ต้องวิงวอนพระแม่ธรณีเมื่อ 1-2 เดือนก่อน ขณะที่พรรคจะเป็นอย่างไรจากนี้ ผมเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่อยากเอ่ย หรือยุ่งกับเขาอีก” พิเชษฐ กล่าว

เมื่อถามว่า จะวางมือจากส.ส.พรรคการเมืองเก่าแก่แล้วหรือไม่ นายพิเชษฐตอบว่า “ล่าสุดได้พบกับผู้ใหญ่ของพรรคอีกคนคือ ท่านพิชัย รัตตกุล ท่านก็ร้องไห้และกอดผม พร้อมกับพูดว่า เหลือท่านที่เป็นผู้ใหญ่ของพรรคคนเดียว ซึ่งผมก็ทบทวนว่า ตั้งแต่หลังพ้นยุค “ครม.ชวน2” แก่นแท้ของพรรคประชาธิปัตย์หายไปกันหมดแล้ว นับได้เลย 28 คน อาทิ นายเอนก ทับสุวรรณ นายสาวิตต์ โพธิวิหค นายศุภชัย พานิชภักดิ์ นายสุขวิช รังสิตพล พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ นายสาวิตต์ โพธิวิหค นายสุรศักดิ์ เทียมประเสริฐ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ นายสุทัศน์ เงินหมื่น นายรักเกียรติ สุขธนะ นายปราโมทย์ สุขุม นายปรีชา มุสิกุล ฯลฯ

ขณะเดียวกัน ทุกคนมักจะคิดว่าผมสนิทกับนายชวน หลีกภัย พอมีเรื่องอะไรมาทุกอย่าง ดีไม่ดี เขาก็คิดว่าผมเป็นกระบอกเสียงบอกต่อ แต่ผมก็ไม่เคยพูดต่อ จนตัวเองรับเรื่องแย่ๆหนักจนเยอะ ก็เหนื่อย ไม่ไหวแล้ว วันนี้ผมจึงอยากพักผ่อนให้ตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ทำหน้าที่ส.ส.ให้กับพรรคอย่างเต็มที่มาตลอด 18 ปี ไม่เคยเสียดาย วันนี้ก็ถึงคราวที่ผมอยากใช้เวลาที่เป็นประโยชน์ในสิ่งที่ตัวเองชอบจะดีกว่า"

ที่มา ข่าวสดออนไลน์