"อัยการสูงสุด"สั่งแล้ว! คุมศอฉ.-ใช้จนท.ลุยยิง สลาย"แดง"เกินกว่าเหตุ ชี้เป็นคดีฆ่าไม่เกี่ยวปปช.



สั่งฟ้อง - นายนันทศักดิ์ พูลสุข โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวอัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ข้อหาก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าคนตาย จากเหตุสลายการชุมนุม 99 ศพ ปี 2553 เมื่อวันที่ 28 ต.ค.

"อสส."สั่งฟ้องมาร์ค-เทือก

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 28 ต.ค. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ หลักสี่ กทม. นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษและโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) แถลงผลการสั่งคดีที่พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนเอกสารหลักฐาน 9 ลัง 61 แฟ้ม 11,242 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องในคดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ในฐานะอดีตรองนายกฯ และอดีตผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ผู้ต้องหาที่ 1-2 ในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 80, 83, 84 และ 288 จากกรณี ศอฉ.มีคำสั่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่จากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (นปช.) ระหว่างเดือน เม.ย. - พ.ค. 2553 ส่งผลมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต


ชี้ใช้อาวุธสลายแดงเกินเหตุ

นายนันทศักดิ์แถลงว่า คดีนี้ดีเอสไอกล่าวหานายอภิสิทธิ์กรณีออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและตั้ง ศอฉ. โดยแต่งตั้งนายสุเทพ เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ซึ่งช่วงเวลาเกิดเหตุผู้ต้องหาทั้งสองร่วมกันออกคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ศอฉ.สกัดกั้นและขอคืนพื้นที่การชุมนุม โดยอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ศอฉ.ดังกล่าว ใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนในการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ชุมนุม โดยเป็นการใช้อาวุธเกินกว่าความจำเป็น เป็นเหตุให้มีประชาชนกลุ่ม ผู้ชุมนุม และประชาชนบริเวณใกล้เคียงถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายสาหัสตามสำนวนการไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาล รวมถึงรายงานการชันสูตรศพหรือบาดแผลของแพทย์หลายราย อันเป็นการกระทำผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่า และพยายามฆ่า ผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 80, 83, 84, 288

เหตุเกิดในหลายท้องที่ในเขตกรุงเทพ มหานครเกี่ยวพันกัน ระหว่างวันที่ 7 เม.ย. - 19 พ.ค. 2553 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน


สั่ง"ขอคืนพื้นที่"จนมีคนตาย

โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุต่อไปว่า คดีนี้เป็นกรณีที่มีการตายเกิดขึ้นเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ซึ่งอยู่ในอำนาจของนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด เป็นผู้พิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 วรรคท้าย ล่าสุด นายอรรถพลพิจารณาแล้วจึงมีความเห็นเมื่อ 25 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า 1.คดีนี้เป็นเรื่องการใช้ หรือก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าหรือพยายามฆ่า ไม่ใช่ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะดำเนินการไต่สวนตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 66

2.การกระทำของผู้ต้องหาทั้งสองมีพยานหลักฐานในการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของ ศอฉ. ดำเนินการปิดล้อมและสกัดกั้นการเข้าร่วมชุมนุม การเคลื่อนย้ายของกลุ่มผู้ชุมนุม และการขอคืนพื้นที่ชุมนุม โดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนได้ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับอันตรายสาหัสจากการใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ ศอฉ. ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บริหารทั้งสอง ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นโดยตรงจากคำสั่งของผู้ต้องหาทั้งสอง พยานหลักฐานจึงรับฟังได้ว่าเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าตามข้อกล่าวหา

3.การออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ ศอฉ. ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหลายครั้งในเวลาต่างกันโดยให้ปฏิบัติในพื้นที่ต่างกัน แม้ผลจากการกระทำตามคำสั่งของผู้ต้องหาทั้งสองจะมีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บต่างเวลาและต่างสถานที่กันก็ตาม แต่ก็เป็นการออกคำสั่งที่ต่อเนื่องกันขณะมีการชุมนุม ทั้งนี้มีเจตนาเดียวกันเพื่อสลายการชุมนุม จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียว อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 84, 90 และ 288


นำตัวส่งฟ้องหลังปิดสภา

"ขั้นตอนหลังจากนี้จะนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องศาล โดยอัยการนัดให้ดีเอสไอนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องต่อศาลอาญาวันที่ 31 ต.ค.นี้ ที่สำนักงานอัยการสูงสุด แต่เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในสมัยเปิดประชุมสภา ผู้ต้องหาทั้งสองสามารถใช้เอกสิทธิ์ความเป็นส.ส.คุ้มครองได้ จึงต้องรอให้ปิดสมัยประชุมช่วงเดือนธ.ค.นี้ก่อน หลังจากนี้หากดีเอสไอจะทำสำนวนเข้ามาเพิ่มอีกหลังจากศาลมีคำสั่งการไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิตรายอื่น อัยการก็จะนำมารวมเป็นสำนวนเดียวกันได้ เพราะถือว่าการเสียชีวิตเกิดจากการออกคำสั่งเพียงครั้งเดียว จึงเป็นความผิดกระทงเดียว" โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าว

ทั้งนี้ หากผู้ต้องหาทั้งสองจะต่อสู้โดยนำประเด็นเรื่องการออกคำสั่งเกิดขึ้นระหว่างดำรงตำแหน่งนายกฯ ซึ่งหากจะมีการกล่าวหาว่ากระทำผิดจะต้องอยู่ภายใต้การไต่สวนของป.ป.ช. หรือถ้าหากจะมีการกล่าวอ้างถึงการปะทะกันของเจ้าหน้าที่กับกลุ่มชายชุดดำก็เป็นสิทธิ์จะโต้แย้งได้ แต่ในสำนวนที่ดีเอสไอส่งมาไม่มีการกล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงที่มีกลุ่มชายชุดดำอยู่ด้วยในครั้งนี้


สลายม็อบผิดหลักสากล

นายนันทศักดิ์กล่าวอีกว่า อัยการมั่นใจในการสั่งคดี เพราะมีพยานหลักฐานลงนามคำสั่งตั้งศอฉ.และนายสุเทพเป็นผอ.ศอฉ. รวมทั้งการออกประกาศให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธจริงในการปฏิบัติได้ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวไม่สอดคล้องกับการสลายการชุมนุมตามหลักสากล ต่างจากกรณีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้าอาคารรัฐสภา เมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง นายกฯ ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการให้เจ้าหน้าที่ดูแลควบคุมการชุมนุม แต่ในการสั่งดังกล่าวไม่ได้ระบุเป็นคำสั่งที่เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธเหมือนประกาศของศอฉ. ดังนั้น เมื่อตั้งเรื่องเป็นคดีจึงกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามมาตรา 157 ต้องส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด แต่กรณีนายอภิสิทธิ์และนาย สุเทพ ได้ตั้งเรื่องตั้งแต่ในชั้นของพนักงานสอบสวนของดีเอสไอว่าก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่า โดยการออกคำสั่งจึงเป็นการกล่าวหาคดีลักษณะวิสามัญฆาตกรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ขณะที่การพิจารณาสำนวนอัยการสูงสุดพิจารณาถึงข้อกำหนดของพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่แม้จะให้อำนาจในการออกคำสั่ง แต่คำสั่งของผู้ต้องหาทั้งสองเป็นการให้ใช้อาวุธเกินความจำเป็นจนมีผู้เสียชีวิต ส่วนที่ไม่ได้กล่าวหาผบ.ตร. รวมทั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ฐานร่วมกันกระทำผิด เพราะตามสำนวนไม่ได้พบว่าร่วมกันออกคำสั่ง ขณะที่เมื่อออกคำสั่งแล้วเจ้าหน้าที่ก็เป็นเพียงผู้ปฏิบัติการ ไม่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่หากภายหลังสอบสวนไปจนระบุชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่คนใดเป็นผู้ใช้อาวุธยิงก็ถือว่าเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งเสียชีวิตเกิดจากการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน แต่การตั้งเรื่องคดีจะต้องพิจารณาว่าจะมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบผิดด้วยหรือไม่


โทษสูงสุด-ประหารชีวิต

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำนวนนี้อัยการได้พิจารณาด้วยหรือไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157 ในการใช้อำนาจออกคำสั่ง

โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดตอบว่า คดีนี้ได้ตั้งเรื่องว่าเป็นการออกคำสั่งที่ก่อให้มีการฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288 โทษสูงสุดคือประหารชีวิตอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกล่าวหาในมาตรา 157 ด้วย อย่างไรก็ดี คำสั่งของอัยการสูงสุดไม่ใช่บรรทัดฐานในอนาคตว่าหากออกคำสั่งดังกล่าวจะเกิดเป็นความผิดมาตราใด โดยต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งอัยการหวังว่าจะไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ส่วนจะกล่าวหาว่าผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิด 157 ด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นอำนาจการไต่สวนของป.ป.ช.นั้น ที่จริงเมื่ออัยการมีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว ป.ป.ช.ก็ต้องพิจารณาว่าเมื่อมูลเหตุเป็นเรื่องเดียวกันแล้วถ้าอัยการสั่งฟ้องก็ควรระงับการพิจารณาไว้ เพราะถ้าทำคดีแล้วจะยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่อีกก็จะเป็นการฟ้องซ้ำ และทางผู้ต้องหาสามารถโต้แย้งได้ว่าอัยการทำคดีนี้แล้ว

เมื่อถามว่า มีแรงกดดันจากทางการเมืองในช่วงพิจารณาพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ นายนันทศักดิ์กล่าวว่า การพิจารณาสำนวนคดีนี้เป็นลำดับขั้นตอน มีคณะทำงานของอัยการร่วมพิจารณา โดยทางสำนักงานคดีอัยการสูงสุดเริ่มพิจารณาคดีนี้ก่อนที่ฝ่ายการเมืองจะพิจารณาเรื่องร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และส่งเรื่องถึงผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนกระทั่งถึงอัยการสูงสุด จึงเป็นการพิจารณาคดีก่อนที่จะมีการพิจารณาพ.ร.บ.นิรโทษกรรม


ยันคดีไม่มีการเมืองแทรก

ด้านนายวัชรินทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ไม่ห่วงเรื่องกระแสวิจารณ์ เพราะเชื่อว่าการสั่งคดีต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากกลุ่มเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยก่อนหน้านี้อัยการสูงสุดก็เคยระบุอยู่แล้วว่าหลังกลับจากต่างประเทศจะแถลงคดีนี้ ซึ่งจะมีทั้งคนเกลียดและชอบเพิ่มขึ้น และไม่กังวลหากผู้ต้องหาฟ้องกลับ เพราะการพิจารณาของอัยการสูงสุดเป็นไปตามพยานหลักฐาน ไม่มีการเมืองแทรกแซง 100 เปอร์เซ็นต์ และลักษณะของคดีวิสามัญฆาตกรรมก็มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2517 วางไว้แล้ว ในเรื่องการกระทำใดเป็นลักษณะการกระทำของเจ้าหน้าที่ ที่จะปฏิบัติหน้าที่ มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งในคำพิพากษาก็มีแนวทางเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ดีเอสไอสรุปสำนวนการสอบสวนเอกสารหลักฐานทั้งสิ้น 9 ลัง 61 แฟ้ม 11,242 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยเล็งเห็นผล จากกรณีการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง อายุ 43 ปี และ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือน้องอีซา อายุ 14 ปี และข้อหาก่อให้ผู้อื่นพยายามฆ่าฯ กรณีนายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ

ที่มา ข่าวสดรายวัน 29 ต.ค.2556