ไต่สวนศพแดง-พยานยันกระสุนจริง

ข่าวสด 10 ตุลาคม 2556



 วันที่ 9 ต.ค. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรศพ คดีหมายเลขดำที่ ช.2/2555 ที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิตของนายเกียรติคุณ ฉัตร์วีระสกุล อายุ 25 ปี คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และนายประจวบ ประจวบสุข ผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณใต้ทางด่วน ถนนพระราม 4 เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2553 พนักงานอัยการนำพยานเบิกความ 2 ปาก

 จากนั้น พนักงานอัยการ เบิกตัวพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำกองสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ซ่อมบำรุง รักษา ทดลองอาวุธปืนที่ใช้ในราชการ ตร. ขึ้นเบิกความว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2554 พนักงานสอบสวน ได้เรียกไปสอบปากคำในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนและกระสุนปืน เพื่อตรวจอาวุธปืนและกระสุนปืนที่ใช้ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มผู้ชุมนุมนปช. และตรวจวินิจฉัยวิถีกระสุน โดยพนักงานสอบสวนนำภาพถ่ายรูปหัวกระสุนปืนที่พบในศพนายประจวบมาให้ดูพบว่าเป็นลูกกระสุนขนาด .223 นิ้ว หรือ 5.56 ม.ม. ที่ใช้กับอาวุธปืนสงคราม เช่น เอ็ม 16, เอ็ม 4, เอชเค 33 และทาโวร์

 พยานเบิกความต่อว่า จากนั้นพนักงานสอบสวนนำภาพถ่ายบาดแผลและผลชันสูตรพลิกศพของนายประจวบมาให้ดู พบว่ามีบาดแผลอยู่ที่หน้าอกด้านซ้าย ขนาด 0.4 เซนติเมตร จากบาดแผลดังกล่าวน่าจะถูกยิงด้วยกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. ระยะการยิงไม่น้อยกว่า 100 เมตร เพราะหัวกระสุนไม่ทะลุผ่านร่างกาย มีวิถีกระสุนยิงมาจากทิศทางที่สูงกว่า จากบนลงล่าง

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างเบิกความ พนักงานอัยการได้เปิดคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการเสียชีวิตของนายเกียรติคุณและนายประจวบ และคลิปพลซุ่มยิง 2 คน ให้พยานดู จากนั้นพยานเบิกความต่อว่า เสียงปืนที่ดังจากคลิปเหตุการณ์ เป็นเสียงปืนยาว ไม่ทราบชนิด แต่ไม่ใช่เสียงปืนลูกซองอย่างแน่นอน ขณะที่คลิปพลซุ่มยิงนั้น พบว่าใช้ปืนเอ็ม 16 โดยเป็นการใช้กระสุนจริง เนื่องจากติดกล้องเล็ง และเล็งไปที่กล้องดังกล่าว และเมื่อยิงออกไปมีแรงสะท้อนกลับที่แรงแบบลักษณะกระสุนจริง

 ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไป วันที่ 10 ต.ค. เวลา 09.00 น.

 เมื่อเวลา 09.30 น. วันเดียวกัน ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนชันสูตรพลิกศพคดีหมายเลขดำที่ ช.3/2556 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายปิยะพงษ์ กิติวงศ์ ผู้ตายที่ 1 นายประจวบ ศิลาพันธ์ ผู้ตายที่ 2 และนายสมศักดิ์ ศิลารักษ์ ผู้ตายที่ 3 ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณสวนลุมพินี ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมนปช.เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2553

 พ.ต.ท.วัฒนา ศิริสูงเนิน พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เบิกความสรุปว่า ได้รับสำนวนจาก สน.ลุมพินี จำนวน 8 สำนวน ส่งมาให้สอบสวนพบว่ามีอยู่ 6 ศพ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ซึ่งรวมผู้ตายทั้งสามด้วย พยานได้สอบปากคำนายปรีชา ณุวงษ์ศรี เจ้าหน้าที่หน่วยกู้แพทย์วชิรพยาบาลที่เข้าไปเก็บศพ จากการสอบสวนนายณัฐพล ทองคุณ ให้การว่า เป็นคนขับรถจยย. เข้าไปในสวนลุมพินีทางด้านถนนวิทยุ มีนายปิยะพงษ์นั่งซ้อนท้าย นายณัฐพลเห็นทหารหลายนายถือปืนยาวตามเข้าไปในสวนลุมพินี นายณัฐพลถูกไล่ยิงมา 5 นัด ได้รับบาดเจ็บ ส่วนนายปิยะพงษ์แยกกันหลบไปอีกทาง เมื่อมาพบว่าเป็นศพแล้ว สอบสวนนายกฤตพจน์ บัวดี ให้การว่า เป็นคนขับรถจยย.คันที่ 2 มีนายพนม แก้วสุวรรณ ซ้อนท้าย คันที่ 3 นายวิรัตน์ ศรีสุวรรณ ขับไปคนเดียว โดยทั้ง 3 คน ไปทางประตู 4 ด้านถนนพระราม 4 ขณะนั้นเห็นทหารอยู่ริมรั้วและเข้ามาในสวนลุมพินี โดยนายกฤตพจน์ถูกยิง แต่หลบหนีออกมาได้

 พยานเบิกความอีกว่า จากการสอบสวน รปภ.สวนลุมพินี คือนายเทอดศักดิ์ ดวงพระเพ็ง และนายแสงเพชร รื่นรมย์ ให้การว่า ได้ยินเสียงปืนและเห็นทหารอยู่รอบสวนลุมพินี ด้านนายปรีชา สุกใส ให้การว่า เวลาประมาณ 12.00 น. ขณะนั่งอยู่หน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.6 ใกล้กับจุดที่นายสมศักดิ์ถูกยิง ได้ยินเสียงปืนมาจากตึก สก. ร.พ.จุฬาลงกรณ์ นายปรีชาจึงชี้นิ้วให้เพื่อนดู ปรากฏว่าถูกยิงที่นิ้วและเข้าร่างกาย เชื่อว่าถูกยิงมาจากตึกดังกล่าว

 พ.ต.ท.วัฒนาเบิกความต่อว่า ต่อมาพยานได้รวบรวมพยานวัตถุกระสุนปืนที่เจอในร่างผู้ตายทั้งสามส่งตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม พบว่ามี 2 ศพ สามารถยืนยันได้ว่าเป็นหัวกระสุนขนาด .223(5.56 ม.ม.) จึงเชื่อว่าทั้งหมดเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่

 ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไป วันที่ 29 ต.ค. เวลา 09.00 น.