ทีมข่าว นปช.
14 สิงหาคม 2556
ไม่แน่ใจว่า คปก.และอ.คณิต เข้าใจหลักการทั่วไปของ พรบ.นิรโทษกรรมฉบับวรชัยหรือไม่
จากการอ่านข้อเสนอ จากคปก.และอ.คณิต ที่บ่งบอกว่า เป็นการนิรโทษแบบ เหมารวม แบบครอบคลุมทั่วไป
เท่ากับยืนยันว่า คปก.อ่านแล้วไม่รู้เรื่องหรือไม่เข้าใจ หลักการทั่วไปของพรบ. เพราะ พรบ.ฉบับนี้“นิรโทษให้ เฉพาะ ประชาชน ซึ่งครอบคลุม ประชาชนทุกฝ่าย”
แต่ยกเว้น เฉพาะแกนนำ ซึ่ง มีข้อความระบุชัดเจนว่า
หมายถึง“ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจและสั่งการให้เกิดความเคลื่อนไหว”
ซึ่งคนไทยที่อ่านภาษาไทยเข้าใจทุกคน ก็เห็นได้อย่างกระจ่างชัดว่า ไม่ได้นิรโทษกรรมให้ “แกนนำ” ซึ่งหมายรวมถึง นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รวมทั้งนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เข้าร่วม ในการ “ตัดสินใจและสั่งการให้เกิดการเคลื่อนไหวด้วย”ไม่ได้รับนิรโทษ ดังนั้นการกล่าวหาว่า เป็นการนิรโทษแบบเหมารวมจึงไม่เป็นความจริง
ซึ่งประเด็นนี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะพรบ.ฉบับนี้ต้องการให้ แกนนำของทั้งสองฝ่าย ต้องแสดงความรับผิดชอบทางกฎหมายในการ ชุมนุมประชาชนเพื่อแสดงออกทางการเมืองในทุกขั้นตอน รวมไปถึงรัฐบาลและนายทหารชั้นสูงที่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังอาวุธสงครามในการปราบปรามสังหารประชาชน
นี่เป็นหลักประกันว่า ต่อไปใน อนาคต แกนนำในการเคลื่อนไหว ทุกกลุ่ม ทุกคนต้องระมัดระวังในการ นำพาการชุมนุมประชาชนของกลุ่มตนหรือของตน รวมไปถึง รัฐบาลที่สั่งการให้มีการสังหารประชาชนด้วยอาวุธสงครามต้อง “เลิกคิดเลิกการกระทำดังกล่าวได้แล้ว”
ในเมื่อ ความผิดทางอาญา ที่ประชาชนก่อขึ้นจน นำไปสู่การดำเนินการตามกฏหมาย เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ทางหลักนิติธรรมถือว่าเป็นความขัดแย้งทางการเมือง โดยหลักของอารยะประเทศทั่วโลก ต้องนิรโทษให้ประชาชนที่ได้รับโทษอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองทั้งสิ้น
และของประเทศไทยเอง นิรโทษ25ครั้งที่ผ่านมา มีเพียง3+1ครั้ง(14ตุลา, 6ตุลา, 17-19พฤษภา35)ที่นิรโทษให้ประชาชน แต่ที่เสียหายคือนิรโทษให้ รัฐบาลและนายทหารที่สังหารประชาชนไปพร้อมกันในตัว จึงทำให้มีการสังหารประชาชนสองมือเปล่าด้วยทหารที่ใช้อาวุธสงครามสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
ส่วนที่บวกหนึ่ง ก็คือ 66/23 ซึ่ง ผู้ที่ได้รับนิรโทษ ผิดกฏหมายความมั่นคง ฆ่าทหารตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ ฆ่าประชาชนทั่วไป เผาสถานที่ราชการ ปล้นสถานที่ราชการ ใช้อาวุธสงครามร้ายแรง RPG AK Carbine เซกาเซ M16 ปืนครก ระเบิดขว้างทุกชนิด ก็นิรโทษหมด รวมทั้งผู้นำทุกระดับของ พคท.ไม่มีการแยกแยะ เหมาเข่ง ยิ่งกว่า พรบ.ฉบับวรชัยเสียอีก
แต่ไม่เห็นมีการกระทำความผิดซ้ำดังที่ คปก.กล่าวหาแต่ประการใด
ที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองต่อมาเกิดจากการรัฐประหารโดยทหาร และรัฐบาลใช้กำลังทหารและอาวุธสงครามสังหารประชาชนกลางเมือง
อันที่จริงกระบวนการยุติธรรมแบบปกติได้เดินหน้าไป ค่อนข้างมาก จนคดีอาญาที่เกิดกับคนเสื้อแดง ได้เข้าสู่ศาลทั้งหมดแล้ว หลายกรณีเป็นการสร้างเรื่องยกเมฆใส่ร้ายคนเสื้อแดงจนพนักงานสอบสวนและอัยการต้อง งดสอบสวน แต่ หลายคดีก็มีคำพิพากษา ถึงขั้นศาลอุทธรณ์แล้ว ดังนั้นที่ คปก.กล่าวว่าไม่ได้ใช้กระบวนการยุติธรรมแบบปกติ จึงไม่จริง
และนปช.ได้พยายามดำเนินการขอประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกจำขัง มาโดยตลอด บางกรณีศาลก็อนุญาต บางกรณีก็ไม่อนุญาต
อันที่จริง คนเสื้อแดง หลายคน ถูกซ้อมให้รับสารภาพ หลายคนทนายดูแลได้ไม่ทั่วถึง จึงมีชตากรรมเช่นปัจจุบัน กลุ่มแกนนำเช่นพวกผม ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้คดี โดยเฉพาะในขั้นต้นของกระบวนการยุติธรรม พวกเราถูกกักขังจองจำในค่ายตชด.ในเรือนจำ ไม่มีโอกาสในการตระเตรียมเพื่อต่อสู้คดีอย่างยุติธรรมแต่ประการใด
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ดำเนินตามข้อเสนอของ คอป.ที่อ.คณิตเป็นประธานได้ค่อนข้างครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ เยียวยาผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ผู้ถูกจำขังเกินความผิด ได้จัดให้มีกระบวนการ “ประชาเสวนา”เพื่อให้เกิดความปรองดอง ซึ่งเดินหน้าไปมากแล้ว
รวมไปถึงพยายามที่จะเสนอ “พรบ.ปรองดองหลายฉบับ”ซึ่ง ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้ขัดขวางจนไม่สามารถเดินหน้าต่อไป
รวมไปถึงความพยายามที่จะ “ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับคณะรัฐประหาร”แล้วให้ “ประชาชนได้ร่างรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง” ก็ประสบอุปสรรค โดยศาลรัฐธรรมนูญ
ในปัจจุบัน นายกฯยิ่งลักษณ์เป็นผู้ริเริ่ม จัดให้มีสภาปฏิรูปขึ้น รวมทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ได้จัด สมัชชาปฏิรูป และคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาถึงสองชุดด้วยกัน
ดังนั้นการที่คปก.กล่าวหาว่าไม่ได้ดำเนินการ คู่ขนานให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์หรือ ยุติความขัดแย้งเพื่อให้สังคมพัฒนาไปข้างหน้าได้จึงไม่เป็นความจริง
เรื่องการค้นหาความจริงนั้น การพิจารณาคดีในศาลที่กำลังคืบหน้าไปอย่างมาก ก็จะเป็นส่วนประกอบสำคัญส่วนหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่ง ได้พิพากษาไว้ (จนกว่าจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น) ศาลได้วินิจฉัยว่า คนเสื้อแดงไม่ได้เผาเซนทรัลเวิลด์ การชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อเมษา-พฤษภา53ไม่ใช่การก่อการร้ายเป็นเพียงการจลาจล การปราศรัยของแกนนำเพื่อป้องปรามไม่ให้รัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบปราม การตายเกิดจากกระสุนปืนของทหารที่มาปฎิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของศอฉ. ไม่มีชายชุดดำ ไม่มีการต่อสู้กันระหว่างกองกำลังติดอาวุธกับทหาร ไม่น่าเชื่อว่าอาวุธที่ค้นได้จากวัดปทุมเป็นจริง 6ศพในวัดปทุม ไม่มีเขม่าปืน กรณียิงRPGใส่กระทรวงกลาโหมศาลอุทธรณ์ก็ยกฟ้อง
จึงขอเรียกร้องให้ คปก.เคารพในหลักการนิติรัฐนิติธรรมที่เที่ยงธรรม และสนับสนุน การนิรโทษให้นิรโทษให้เฉพาะแก่ประชาชนเท่านั้น โดยไม่นิรโทษให้แกนนำรวมทั้งรัฐบาลและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่สั่งการให้สังหารประชาชนด้วยอาวุธสงคราม ซึ่งจะนำไปสู่สังคมไทย ที่ไม่มีรัฐประหาร และไม่มีการ “สังหารประชาชนสองมือเปล่าด้วยทหารที่ใช้อาวุธสงครามต่อไปอีกในอนาคต”
นพ.เหวง โตจิราการ 14 สค 56.