โพสทูเดย์
05 กรกฏาคม 56
โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
“พักกิจกรรมเพื่อให้เป็นการกลับไปทบทวนบทบาทของทุกกลุ่มที่กำลังดำเนิน
การโค่นอำนาจเผด็จการและคอร์รัปชั่นว่า แนวทางของท่าน ใช่แนวทางที่เราชาว V
ต้องการหรือไม่ V for Thailand ขอประกาศพักกิจกรรมในกรุงเทพมหานคร แล้ว V
จะกลับมาเปิดกิจกรรมใน Season ต่อไป เมื่อทุกกลุ่ม
ทุกท่านพร้อมที่จะดำเนินการในวิถีแห่งความเป็น V = We = พวกเรา = ประชาชน
ที่ไม่ใช่คนของใคร แต่เป็นคนที่จะทำหน้าที่เพื่อประเทศไทย”
เป็นแถลงการณ์ที่ออกมาเมื่อวันที่ 2 ก.ค. ผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊ก เพื่อขอยุติกิจกรรมของกลุ่มหน้ากากขาวใน กทม. ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาใหญ่ชั่วคราว แต่ในส่วนต่างจังหวัดกิจกรรมยังจัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ตามปกติ
ทันทีที่คำประกาศออกมาส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาตอบกลับจากแนวร่วมค่อนข้าง
รุนแรงด้วยการแสดงความคิดเห็นค่อนข้างรุนแรงถึงขั้นมีการกล่าวหาแกนนำกลุ่ม
หน้ากากขาวว่า “มีผลประโยชน์กับฝ่ายการเมือง”
จากการตอบโต้รุนแรงของมวลชนในเว็บไซต์ได้ทำให้ผู้ดูแลในแฟนเพจหรือแอดมิ
นต้องใช้พื้นที่แฟนเพจ “V for Thailand”
ออกมาชี้แจงเหตุผลเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 3 ครั้ง
ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
ครั้งที่ 1 : “อุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการกอบกู้ชาติไทยขึ้นมาอีกครั้ง
คือ อคติในใจของเรา...แต่ถ้าวันนี้เรายังยึดหัวโขนว่า ฉันเคยเป็นอย่างนั้น
เคยเป็นอย่างนี้ เคยเป็นกลุ่มนั้นกลุ่มนี้
สุดท้ายทุกคนก็จะเหลือแค่ซากของประเทศที่ล่มจม...”
ครั้งที่ 2 :
“หน้ากากขาวมีไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเท่าเทียมกันของประชาชน ไม่มีสี
ไม่มีกลุ่ม ไม่มีแกนนำ...พลังที่บริสุทธิ์ต้องเกิดจากปัญญาของประชาชนครับ”
ครั้งที่ 3 : “ที่ผ่านมาความรุนแรง การยั่วยุ
และการฟังคนสั่งให้เดินไปข้างหน้า เราเสียพี่น้องคนไทยไปกี่คนแล้ว
แต่เราก็ยังแพ้พวกโกงชาติบ้านเมือง...เราคือประชาชน
มีอาวุธเดียวคือความสามัคคี
การพักคือให้ผู้ที่นำพาคนทั้งหลายหัดรู้จักสามัคคีกันเองเสียก่อน”
จะเห็นได้ว่าจากคำชี้แจงถึงการพักรบในเมืองหลวงชั่วคราวทั้ง 3 ครั้ง มีการพูดตรงกันในทำนองว่า “กำลังเกิดการแย่งชิงมวลชน”
การแย่งชิงมวลชนที่ว่านั้นแม้จะยังไม่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในตลอดการ
ชุมนุมทุกวันอาทิตย์ตลอด 5 ครั้งที่ผ่านมา
แต่ก็เริ่มปรากฏสัญญาณให้เห็นบ้างแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการรื้อแผงรั้วเหล็กกั้นบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล
เวิลด์ เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา
อันเป็นแนวกั้นที่ทางห้างได้เอาวางไว้
ไปจนถึงการมีมวลชนบางกลุ่มที่สวมหน้ากากขาวเอารถยนต์ปิดด้านหน้าสำนักงาน
ตำรวจแห่งชาติ (สตช.)
ระหว่างการเดินขบวนจากหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ไปหอศิลปวัฒนธรรม
กทม. บริเวณถนนพระราม 1
การปราศรัยที่หน้า
สตช.นี่เองที่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแถลงการณ์พักการชุมนุมชั่วคราว
เพราะถ้อยคำที่ใช้โจมตี
สตช.เป็นไปในลักษณะหยาบคายและพาดพิงคดีการเสียชีวิตของ “เอกยุทธ อัญชันบุตร”
ในเมื่อจุดยืนเดิมของกลุ่มหน้ากากขาวที่ได้ประกาศเอาไว้ตั้งแต่การรวมตัว
ที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ คือ
การแสดงพลังต่อต้านการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดนี้เท่านั้น
และเน้นในเรื่องความสามัคคีไม่แบ่งสีเสื้อ
แต่กลับกำลังถูกสั่นคลอนลงด้วยกลุ่มคนบางกลุ่มที่เข้ามาปะปน
จึงมีความจำเป็นที่ต้องยุติการรวมตัวกันใน กทม.ชั่วคราว
เพื่อป้องกันไม่ให้สังคมมองม็อบหน้ากากขาวว่ามีกลุ่มการเมืองหนุนหลังอยู่
ทั้งนี้
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองที่เข้ามาปะปนกับกลุ่ม
หน้ากากขาวนั้น กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)
ก็ได้รับรายงานเข้ามาเหมือนกันว่ามีอยู่จริง
“เท่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบได้ลงพื้นที่คาดว่าเดิมกลุ่มมวลชน
ของกลุ่มหน้ากากขาวมาจากหลายกลุ่ม
นำโดยกลุ่มชนชั้นกลางที่มีการศึกษาเป็นหลัก ซึ่งไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
จึงออกมารวมตัวกันเพื่อแสดงพลังกดดันรัฐบาล
แต่ระยะหลังเริ่มมีมวลชนของกลุ่มการเมืองเข้าไปปะปนมากขึ้น”
นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของ บช.น.รายหนึ่งให้ข้อมูล
ล่าสุด “องค์การพิทักษ์สยาม”
ม็อบที่เคยชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เมื่อปีที่ผ่านมาได้ใช้จังหวะการพักรอบกลุ่ม V for Thailand
ประกาศทางเฟซบุ๊กในทำนองว่า ขอเป็นเจ้าของมวลชนหน้ากากขาว
แต่ให้เปลี่ยนไปใช้ “หน้ากากหนุมาน” เป็นสัญลักษณ์แห่งการเคลื่อนไหวแทน
จึงเป็นคำตอบในระดับหนึ่งว่ากลุ่มการเมืองที่เข้ามาปะปนกับหน้ากากขาวตามข้อ
สันนิษฐานของตำรวจคือใคร
อย่างไรก็ตาม
ใช่ว่าม็อบหน้ากากขาวพักแล้วจะช่วยให้รัฐบาลอยู่ต่อไปได้อย่างมั่นคง
เนื่องจากยังมีประเด็นแหลมคมอีกจำนวนมากที่พร้อมจะเขย่าเสถียรภาพรัฐบาลได้
ทุกเมื่อ โดยเฉพาะประเด็นการทุจริต ซึ่งถือเป็นโจทย์ของรัฐบาล
เพราะหากแก้โจทย์นี้ไม่ได้ก็เป็นการยากที่ “ยิ่งลักษณ์” จะอยู่เป็นนายกฯ
ต่อไป