นักวิชาการมอง "ปู" สปีชฟ้องโลก

ข่าวสด วันที่ 6 พฤษภาคม 2556

รายงานพิเศษ



แรงกระเพื่อมจากการปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ประเทศมองโกเลีย เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ยังมี "อาฟเตอร์ช็อก" มาถึงวันนี้
เสียงวิพากษ์วิจารณ์มีทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย จำนวนมากที่แสดงความเห็นอยู่ในขอบเขต แต่ก็มีไม่น้อยที่คิดเห็นอย่างเกินเลย หรือออกอ่าว
ในมุมมองของนักวิชาการเห็นอย่างไรต่อคำกล่าวบนเวทีนานาชาติของนายกฯ

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
อักษรศาสตร์ จุฬาฯ

น่าแปลกใจสำหรับน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะปกติไม่ค่อยกล่าวถึงประเด็นทางการเมือง แต่เห็นด้วยกับสปีชของนายกฯ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ ส.ส.เพื่อไทยกำลังเดินหน้าไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

นายกฯคงตัดสินใจมาแล้ว แม้ผมจะคิดว่ามันช้าไปหน่อยก็ตาม แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยยึดถือระบอบประชาธิปไตย

เป็นเรื่องปกติสำหรับเวทีประชาคมประชาธิปไตย ผู้นำที่ได้รับเชิญมาก็ต้องพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ทำได้อยู่แล้ว เราคือประเทศไทยไม่ใช่เกาหลีเหนือ

เนื้อหาก็มีความเหมาะสมทุกประการ ทั้งการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระที่ก้าวล่วงมายังอำนาจนิติบัญญัติ การใช้สไนเปอร์สลายการชุมนุมระหว่าง เม.ย.-พ.ค. 53 มีผู้เสียชีวิต 99 ราย การรัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549

ทั้งหมดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวปาฐกถาคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่ใช่เรื่องโกหก ไม่ใช่การแก้ต่างให้ครอบครัว และไม่มีใครปฏิเสธเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้

และอยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นำสิ่งที่พูดไปมาปฏิบัติในทันที เริ่มจากการผลักดันเรื่องนิรโทษกรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ต้องตกเป็นนักโทษการเมืองให้สำเร็จ

การแสดงความคิดเห็นทั้งเห็นด้วยและเห็นต่างต่อการปาฐกถา ดังกล่าว สามารถทำได้ แต่ต้องวางอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล

แต่การนำนายกฯมาเปรียบเทียบกับโสเภณี บนโลกออนไลน์นั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ไม่สมควรทำ ไม่มีเหตุผลมารองรับ เป็นเพียงการด่าเอาสนุกปาก หรือไม่ก็สติไม่เต็ม

เช่นกัน การที่กรรมาธิการบางชุดของวุฒิสภา แสดงความไม่เห็นด้วยกับสปีชของนายกฯ ที่มองโกเลีย แล้วต้องการให้นายกฯ เข้าชี้แจงก็เป็นอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. มีขั้นตอนการดำเนินการ สามารถทำได้

แต่ก็ต้องดูด้วยว่าการปาฐกถานั้นบกพร่องอย่างไร ผิดพลาดตรงไหน ไม่เช่นนั้นแล้วการกระทำดังกล่าวจึงเป็นเพียงเรื่องเหลวไหล หรือไม่ก็อาจจะเป็นการประจานตัวเองเสียเปล่าๆ เพราะส่วนใหญ่ก็เป็น ส.ว.สรรหา ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

และขอเตือนพรรคฝ่ายค้านว่าอย่าทำหนังสือชี้แจงเนื้อหาการปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เลย ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายค้านทำไม่ได้แต่การทำหนังสือชี้แจงนั้นพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในฐานะอะไร แล้วจะส่งหนังสือไปให้ใคร แล้วจะได้อะไรขึ้นมา

หรือเป็นเพียงแค่การว่ากันส่งเดช เพราะในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่เคยได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกอยู่แล้วจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
นักวิชาการอิสระ

การปาฐกถาของนายกฯ เป็น การพูดอย่างเปิดเผยต่อปรากฏ การณ์ในประเทศไทย และเป็นปรากฏการณ์ที่ทั่วโลกรู้กันอยู่แล้ว ทั้งการรัฐประหาร 2549 การสลายการชุมนุม ปี 2553

แต่ที่ครั้งนี้เป็นประเด็นเพราะไม่เคยมีนายกฯ ที่กล้าพูดแบบนี้โดยตรงในเวทีโลก และยังเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯหญิงที่ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้ง

การกระทำเช่นนี้อาจจะกระทบต่อฐานะของตัวนายกฯเองได้ เพราะเท่ากับเป็นการประกาศยอม รับพร้อมเผชิญกับความขัดแย้ง แต่กว่านายกฯจะทำได้อย่างนี้คงคิดเยอะแล้วว่ามีแรงสนับสนุนมากพอตัว

แต่ก็ใช่ว่าการวางตัวของนายกฯ จะดูเป็นแง่ลบ เพราะการกล้าแข็งใส่บ้างคงทำให้สะเทือนถึงฝ่ายตรงข้ามไม่น้อย จากที่เคยถูกโจมตีแบบไม่ตอบโต้อะไรมากมาตลอด
การวางตัวทางการเมืองแบบสลับอ่อน-แข็งนี้ ผมชื่นชม ต้องมีแข็งบ้าง รอมชอมบ้าง

แต่ก็เชื่อว่านายกฯคงทำครั้งนี้แค่ครั้งเดียวในรอบปี เพราะเมื่อนายกฯก้าวเข้าสู่ความขัดแย้งแล้วย่อมรู้ว่าจะได้รับผลกระทบอะไรตามมา หรือเรียกได้เต็มปากว่าเป็นคู่ขัดแย้งเต็มตัวในสายตาของฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง

อย่างไรก็ดี โดยส่วนตัวไม่คิดว่าการกระทำของนายกฯ จะเป็นเรื่องของการ ท้าชน หรือเพื่อช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทางอ้อม แต่เป็นเพราะการพัฒนาของ นายกฯที่คิดว่าไม่ควรหลบในหลืบอีกต่อไป

ดังนั้น การที่คณะกรรมาธิการของวุฒิสภา จะเชิญนายกฯ ชี้แจง เพื่อแสดงเจตนาการปาฐกถาดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะเป็นการพูดในข้อเท็จจริง เวทีที่มีความเป็นกลาง และเป็นสิทธิในการแสดงความเห็นตามระบอบประชาธิปไตย

ถ้านายกฯพูดว่า ไม่เคยเกิดเหตุการณ์รัฐประหารหรือสลายการชุมนุมถึงจะเป็นเรื่องผิด ค่อยกล่าวขอโทษประชาชน และอำนาจในกรรมาธิการเองไม่ควรมีมากถึงขนาดนั้น

ต้องยอมรับว่าในทางรูปธรรมนายกฯไม่ได้พูดอะไรที่เสียหายให้ร้ายแรงเลย จึงไม่น่าจะต้องเดือดร้อนจนให้ใครสั่งขอโทษใคร และไม่จำเป็นต้องไปชี้แจง

วิโรจน์ อาลี
รัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

การปาฐกถาพิเศษของนายกฯที่มองโก เลีย ถือว่ามีนัยยะทางการเมืองมาก เพราะตั้งแต่รัฐบาลได้รับเลือกตั้งเข้ามา เป็นครั้งแรกที่นายกฯ แสดงความรู้สึก พูดถึงเรื่องที่ไม่ง่ายถ้าจะพูดภายในประเทศ

การใช้โอกาสในเวทีซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติเพื่อพูดถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศไทย

ยิ่งคำพูดที่ระบุว่าประเทศไทยยังมีกลุ่มพลังที่ปฏิเสธอำนาจของประชาชน หรือที่เรียกว่า"แรงปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตย" เป็นการแสดงความรู้สึกที่ชัดเจนว่ารัฐบาลไม่ต้องการเป็นฝ่ายตั้งรับเพียงอย่างเดียว

การปาฐกถาของนายกฯ ท่ามกลางอุณหภูมิทาง การเมืองที่กำลังร้อนแรง โดยเฉพาะเรื่องการคัดค้านอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่ารัฐบาล เริ่มเดินหน้าเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง

เพราะเหตุจากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราไว้เป็นคำร้อง พรรคเพื่อไทยจึงคิดว่าถึงเวลาที่ต้องแสดงจุดยืนทางการเมืองให้ชัดเจน เพราะหากปล่อยให้มีการก้าวล่วงอำนาจกันไปเรื่อยๆ คงอยู่กันลำบาก

อีกทั้งยังปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเลือกจะรุกทางการเมืองครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันของประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย แม้เดิมพันครั้งนี้จะสูงแต่พรรคเพื่อไทยก็ต้องเลือกที่จะรักษาฐานเสียงไว้

นี่เป็นภาพสะท้อนที่แสดงให้เห็นพัฒนา การทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยว่ามีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองและกับ ผู้สนับสนุน คือ ขณะที่ประชาชนเลือกพรรคด้วยนโยบายที่นำเสนอ ขณะเดียวกันประชาชนก็มีส่วนผลักดันนโยบายต่างๆ หรือทิศทางของพรรคด้วย

เห็นได้ชัดว่าการต่อรองทางอำนาจเริ่มเกิดขึ้น นี่จึงเป็นพลังของประชาสังคมที่เริ่มออกมาเรียกร้องถามถึงโครงสร้างว่าอะไรคือชาติ และอะไรคือผลประโยชน์ของชาติ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

นายกฯ ยังปาฐกถาถึงเหตุการณ์ที่ประชาชน ลุกขึ้นต่อสู้และเสียเลือดเนื้อเพื่อสร้างประชาธิปไตย รวมทั้งเรื่องนักโทษทางการเมือง ถือเป็นภาพรวมของแนวทางการแก้ไขปัญหาทางการเมืองในลำดับต่อๆ ไปว่าควรเป็นอย่างไร

ช่วงท้ายการปาฐกถา นายกฯยังกล่าวถึงสิ่งสำคัญที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการพูดถึงอย่างเป็นทางการมากนัก คือการชี้ให้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยคือหลักประกันเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ

เป็นการชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของการใช้กลไกประชาธิปไตยเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยการแก้ปัญหาความยากจนไม่ใช่หน้าที่ของกลไกตลาดอย่างเดียว แต่รัฐต้องเข้ามามีบทบาทด้วย

ส่วนจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองมากน้อยแค่ไหนนั้น ไม่น่าจะมีปฏิกิริยามากนัก เพราะการเลือกพูดในเวทีระดับสากล แรงกดดันจากต่างประเทศจะช่วยทำให้ปฏิกิริยาของฝ่ายต่อต้านภายในประเทศน้อยลง

หากพูดในประเทศคงเกิดข้อถกเถียงมากกว่านี้