6 พฤษภาคม 2556

ความคิด ความเห็น และความเชื่อที่แตกต่างกันในระบอบประชาธิปไตยนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เพราะระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นมาเพื่อจัดการกับความแตกต่างหลากหลายเหล่านี้ด้วยวิถีทางสันติ
แต่หากเมื่อใดที่ความคิด ความเห็น ความเชื่อที่แตกต่างกันนี้ "ข้ามเส้น" จากเรื่องของหลักการและเหตุผล กลายเป็นประเด็น "ส่วนตัว" เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
กระบวนการจัดการเพื่อให้ปัญหาสงบระงับหรือทุเลาลงก็จะซับซ้อนยิ่งขึ้น เพราะจะต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านอารมณ์ความรู้สึกของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย
ความแตกต่างขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยก็ดำเนินไปในลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น
ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนในกรณีล่าสุดก็คือ ปาฐกถาเรื่องประชาธิปไตยของนายกรัฐมนตรีที่ประเทศมองโกเลียเมื่อสัปดาห์ก่อน
ขณะที่คนส่วนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ "เนื้อหา" ของปาฐกถานั้นด้วยการยกหลักการและข้อมูลด้านตรงข้ามมาหักล้าง
ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกอารมณ์ความรู้สึกเข้าบังตา แสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อปาฐกถาดังกล่าวด้วยถ้อยคำผรุสวาทหรือการเหยียดหยาม
ซึ่งสุดท้ายก็นำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดี ที่ด้านหนึ่งแม้จะเป็นการระงับหรือชะลอมิให้พฤติกรรมก้าวร้าวเช่นนั้นดำเนินต่อไป แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการเพิ่มความร้าวฉานที่มีต่อกัน
ให้ยิ่งถ่างกว้างออกไปยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในขณะที่รับเอาระบอบประชาธิปไตยมาเป็นเครื่องมือในการปกครอง และจัดการบริหารประเทศ สังคมไทยยังไม่ได้รับหรือปรับเอาคุณสมบัติอีกหลายส่วนที่เป็นสาระของระบอบประชาธิปไตยมาด้วย
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือความอดทนและกระบวนการจัดการปัญหาอย่างสันติ
ไม่เช่นนั้นแล้วเหตุการณ์รัฐประหารเพื่อล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วการใช้กำลังอาวุธของรัฐเข้าปราบปรามประชาชนผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองจนมีผู้เสียชีวิตนับร้อยศพจะเกิดขึ้นไม่ได
ถ้าจะมีข้อดีอยู่บ้างจากเหตุการณ์กระทบใจจากกรณีนี้
ก็คือการย้ำเตือนให้สังคมไทยได้สำรวจตัวเองอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้ง
