ศาลชี้ศพ99 ลุงคิมเหยื่อปืน-ป่วยตาย ถูกยิงจนเป็นอัมพาตไต่สวนสรุปมะเร็งคร่า "ธาริต"ปรับข้อหาใหม่ (ข่าวสดออนไลน์)

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอ่านคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพคดีที่พนักงานอัยการ ขอให้ไต่สวนชันสูตรพลิกศพการตายของนายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง อายุ 55 ปี ถูกยิงบาดเจ็บสาหัสและเป็นอัมพาต ใกล้ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี ถ.พระราม 4 ในเหตุการณ์กระชับพื้นที่กลุ่ม นปช. เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2553 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2555 ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นการตายที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ เพื่อขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน ตายเมื่อใด เหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
ศาล พิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและภรรยาผู้ตายแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-19 พ.ค. 2553 มีการชุมนุมของ กลุ่มนปช. นายกรัฐมนตรีจึงออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขต ท้องที่กทม.และพื้นที่ใกล้เคียง จัดตั้งศอฉ. มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นผอ. ต่อมาวันที่ 14 พ.ค. เวลา 12 น.เศษ นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง ผู้ตาย พร้อมด้วยภรรยา บุตรชาย และบุตรสาว ออกจากบ้านในซอยบ่อนไก่ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. มายืนรอรถประจำทางที่ป้ายรถ ใกล้ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี หน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ถ.พระราม 4 ระหว่างนั้นมีเสียงคล้ายระเบิดและเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ภรรยากับบุตรทั้งสองจึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนผู้ตายยังยืนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ
ขณะนั้นเจ้าพนักงาน จากม.พัน 5 รอ. จ. สระบุรี 2 กองร้อย ปฏิบัติหน้าที่มีอาวุธประจำกายคือ ปืนเล็กยาว เอ็ม 653 และปืนลูกซอง ได้รับคำสั่งให้มากระชับพื้นที่ และผลักดันผู้ชุมนุม บนถ.พระราม 4 จากแยกถนนวิทยุ ด้านสะพานไทย-เบลเยี่ยม ไปทางซอยบ่อนไก่ และทางพิเศษเฉลิมมหานคร ผู้ชุมนุมใช้หนังสติ๊ก พลุ และตะไล ยิงโต้ตอบ ขณะที่เจ้าพนักงานกำลังใช้ปืนยิงขู่ผู้ชุมนุมที่บริเวณ ถ.พระราม 4 ด้านซอยบ่อนไก่ ผู้ตายกำลังจะกลับเข้าบ้านถูกยิงที่บริเวณหลังด้านซ้าย ถูกส่งไปรักษาร.พ. กล้วยน้ำไท จากนั้นย้ายไปรักษาตัวต่อที่ร.พ. มเหสักข์ จากการถูกยิงดังกล่าวทำให้ประสาทไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นผลให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาต ผู้ตายรักษาตัวที่ร.พ.สลับกับรักษาตัวที่บ้าน ครั้งสุดท้ายเข้าร.พ.มเหสักข์ และถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 23 ก.พ.2555
ปัญหาต้อง วินิจฉัยคงมีว่าเหตุและพฤติ การณ์แห่งการตายของผู้ตายเป็นอย่างไร เห็นว่าภรรยาผู้ตายมีแพทย์ผู้ตรวจรักษาผู้ตายเป็นพยานยืนยันว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยอาการปอดอักเสบ เกิดจากกล้ามเนื้อในการหายใจอ่อนแรง เนื่องจากมีการกดทับไขสันหลังระดับคอ นอกจากนี้ผู้ตายเป็นโรงมะเร็งท่อน้ำดี ตรวจพบตั้งแต่มิ.ย.2552 และพบเซลล์มะเร็งที่หลอดเลือดในตับของผู้ตายก่อนเกิดเหตุคดีนี้ เมื่อรับฟังประกอบความเห็นของพยานผู้ร้องซึ่งเป็นแพทย์ผู้ตรวจศพว่า สาเหตุการตายของผู้ตายน่าจะเกิดจากมะเร็งเป็นหลัก ซึ่งพยานเชื่อว่าการถึงแก่ความตายเกิดจากการที่ผู้ตายป่วยเป็นโรคมะเร็ง พยานผู้เชี่ยวชาญทั้งสองปากเป็นคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด เชื่อว่าเบิกความเป็นไปตามความจริง
นอกจากนี้ แพทย์ผู้ตรวจรักษาผู้ตายยังเบิกความว่า โดยทั่วไปการเป็นอัมพาตที่ขาทั้งสองข้างไม่เกี่ยวกับการเป็นอัมพาตที่แขน ทั้งสองข้าง ผู้ตายมีเลือดออกที่กระดูกคอ ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใดในเดือนมิ.ย.2553 หลังจากผู้ตายถูกยิง ผู้ตายยังหายใจได้ดีมาโดยตลอด การถูกยิงจึงไม่น่าเกี่ยวกับการทำให้ผู้ตายมีปัญหาการหายใจ กระทั่งต.ค.2554 ผู้ตายถึงเริ่มมีอาการอ่อนแรงของแขนทั้งสองข้าง เมื่อเอกซเรย์ พบว่ากระดูกทับเส้นประสาทระดับคอ และมีเลือดออกที่กระดูกคอ หลังจากเข้ารับการผ่าตัดกระดูก คอแล้ว ผู้ตายสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้
ศาล ระบุอีกว่า การที่ผู้ตายถูกยิงแล้วมีผลให้เป็นอัมพาตที่ขาทั้งสองข้าง จึงมิได้เป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายเป็นอัมพาตที่แขนทั้งสองข้าง อีกทั้งทางไต่สวนไม่ปรากฏว่า การที่ผู้ตายมีกระดูกทับเส้นประสาทระดับคอ และมีเลือดออกที่กระดูกคอนั้น เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด และได้ความว่า หลังจากถูกยิง ผู้ตายยังหายใจได้ดีมาโดยตลอด เพิ่งมีปัญหาเรื่องระบบการหายใจตั้งแต่มีอาการแขนทั้งสองข้างอ่อนแรง และมีการกดทับไขสันหลังระดับคอ นอกจากนี้ ยังได้ความว่า ผู้ตายป่วยเป็นโรคปอดอักเสบและโรคมะเร็งระยะลุกลามจนกระทั่งถึงแก่ความตาย จากการชันสูตรพลิกศพพบหัวกระสุนขนาด .223 (5.56 ม.ม.) ที่สะบักด้านขวา ส่วนบริเวณที่ผู้ตายถูกยิงพบรอยกระสุน 15 รอย เป็นขนาด .223 (5.56 ม.ม.) มีทิศทางมาจากแยกวิทยุไปตามถ.พระราม 4
ศาลอ่านคำสั่งต่อว่า ถึงแม้พบหัวกระสุนปืนที่บริเวณสะบักด้านขวาของผู้ตายก็ตาม แต่ได้ความจากแพทย์ผู้ตรวจศพว่า หัวกระสุนปืนที่สะบักขวาของผู้ตายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ ความตาย และแม้หัวกระสุนปืนดังกล่าวจะอยู่ในร่างกายของผู้ตายตลอดไป ก็ไม่เป็นเหตุทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เพราะตำแหน่งหัวกระสุนปืนอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณสะบักซึ่งไม่มีอวัยวะสำคัญ จากข้อเท็จจริงดังที่วินิจฉัยมาข้างต้นฟังได้ว่า การที่ผู้ตายถูกยิงมิใช่ผลโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่สาเหตุที่ทำให้ถึงแก่ความตายเกิดจากปอดอักเสบ ระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจล้มเหลวจากโรคมะเร็งระยะลุกลาม จึงมีคำสั่งว่า ผู้ตายคือ นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง ถึงแก่ความตายสืบเนื่องจากปอดอักเสบ ระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจล้มเหลวจากโรคมะเร็งระยะลุกลาม โดยมิใช่ผลโดยตรงจากการถูกยิง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในห้องพิจารณาคดีมีน.ส.ภาวิณี ชุมศรี และนายอานนท์ นำภา ทนายความญาติผู้ตาย มาร่วมฟังคำสั่งศาล ส่วนนางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคง ภรรยาผู้ตาย ติดภารกิจ ไม่ได้มาศาล น.ส.ภาวิณี กล่าวภายหลังศาลมีคำสั่งว่า ประเด็นที่กังวลอยู่คือเรื่องสาเหตุของการตาย แต่จากการเบิกความของพยานทั้งหมด โดยเฉพาะแพทย์ที่รักษาก่อนเสียชีวิตยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง แต่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อกระดูกไขสันหลังระดับคอที่ทำให้แขนอ่อนแรง แล้วแพทย์ที่รักษาตอนถูกยิงก็ระบุว่า คนที่เป็นอัมพาตก็อาจทำให้เกิดปอดอักเสบได้ ในส่วนนี้จึงทำให้มั่นใจว่า ศาลจะไม่มีคำสั่งว่าเสียชีวิตจากการเป็นโรคมะเร็งแน่นอน แต่ทั้งนี้ไม่มีแพทย์คนใดยืนยันว่า การกดทับเส้นประสาทระดับคอและปอดอักเสบเป็นผลมาจากการเป็นอัมพาต เนื่องจากการถูกยิงหรือไม่ ประกอบกับแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพที่สันนิษ ฐานว่าเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง จึงอาจทำให้ศาลมีคำสั่งว่าเสียชีวิตจากปอดอักเสบ ระบบการไหลเวียนโลหิตและการหายใจล้มเหลวเกิดจากโรคมะเร็ง แต่ไม่ได้พิจารณาจากแพทย์ที่ทำการรักษาก่อนเสียชีวิต
น.ส.ภา วิณีกล่าวต่อว่า ในส่วนที่ว่าผู้ตายถูกใครยิงจนทำให้เป็นอัมพาตก็ไม่ได้ระบุ แต่ระบุแค่ภาพรวมของสถานการณ์ว่ามีการกระชับพื้นที่และมีเจ้าหน้าอยู่ใน บริเวณดังกล่าว จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุของกองพิสูจน์หลักฐานพบรอยวิถีกระสุนมาจากสะพาน ไทย-เบลเยี่ยม ไปย่านบ่อนไก่ พฤติการณ์ของผู้ชุมนุม ยิงพลุและตะไล โดยไม่ได้ชี้ชัดว่าถูกยิงจากเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ข้อเท็จจริงในคดีที่นำสืบทั้งหมด เรามีประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ ทั้งนักข่าว ผู้ชุมนุม และชาวบ้านที่ช่วยนำนายฐานุทัศน์ ส่งร.พ.
"หลัง จากนี้ คงต้องปรึกษาคณะทำงานว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เนื่องจากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 คำสั่งศาลตามมาตรานี้ให้ถึงที่สุด จึงไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่ช่องทางที่ทำได้คือการฟ้องคดีอาญา ข้อหาพยายามฆ่า คือถูกยิงสาหัสใกล้เสียชีวิต และข้อหาฆ่า คือเสียชีวิตจากการเป็นอัมพาตอันเนื่องมาจากการถูกยิง หากพนักงานสอบสวนและอัยการยังมีความเห็นว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ ก็อาจให้ไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมและยื่นฟ้องคดีอาญาต่อศาล แต่ถ้าเห็นว่าพนักงานสอบสวนหรืออัยการทำสำนวนช้า ญาติสามารถยื่นฟ้องเองได้" ทนายความญาติผู้ตายกล่าว
