ขณะที่ป้ายต่อต้านการรัฐประหาร ยังติดพรึบอยู่ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ขณะที่กระแสข่าวการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ในปลายเดือน พ.ย. อันมีเป้าหมายเพื่อเผด็จศึก และนำไปสู่การ "แช่แข็ง" ประเทศไทย
ขณะที่มีกระแสข่าวการเตรียมอาร์พีจี ระเบิด ไว้ต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะเดินสายมาพบผู้สนับสนุน ยังท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ฝั่งตรงข้าม จ.เชียงราย
การให้สัมภาษณ์ "มติชนทีวีสุดสัปดาห์" ออกอากาศเมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 3-4 พ.ย. ที่ผ่านมาของนายจตุพร พรหมพันธุ์ มีประเด็นมองข้ามไม่ได้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง การข่าว และการประเมินคู่ต่อสู้
นายจตุพรยกอุทาหรณ์ จากเรื่องเล่าว่า เมืองแห่งหนึ่ง ข้าศึกรุกเข้าประชิดกำแพงเมือง เสียงม้าศึกวิ่งตะบึงสะเทือนเลื่อนลั่น กลับโดนคนที่ใกล้ชิดเฉไฉว่าเป็นเสียงปรบมือ ยอกย้อนด้วยวิธีการอธิบายอย่างแยบยล ให้ตายใจสุดท้าย ทั้งเสียรู้ และเสียเมือง ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ควรรับฟังอย่างใคร่ครวญ
การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่สนามม้านางเลิ้ง ที่มี พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เป็นประธาน แม้จะทำให้รัฐบาลเกิดความตื่นตัวสั่งการให้สภาความมั่นคงแห่งชาติเกาะติด และห้ามประมาท แต่ความตื่นตัวของรัฐบาล แท้จริงแล้ว เกิดจากความผิดพลาด ก่อนหน้านั้น รัฐบาลเองยอมรับว่าประเมินม็อบสนามม้าไว้ต่ำเกินไป นายจตุพรกล่าวในรายการเดียวกันว่า รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เคยล้มมาแล้วเพราะมีการพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างจ๊อกกี้กับม้า โดยชี้ว่า รัฐบาลเหมือนกับจ๊อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร นั่นเพียงแค่ปัญหาจ๊อกกี้กับม้า แต่คราวนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังเผชิญกับทั้งสนามม้า ปัญหาคือ ความพร้อมในการเตรียมรับสถานการณ์มีมากน้อยอย่างไร
ในการให้สัมภาษณ์ในอีกวาระหนึ่ง นายจตุพรกล่าวเตือน "การข่าว" ของรัฐบาล โดย ระบุว่า การข่าวของรัฐบาลชุดนี้ไม่ว่าจะเป็น สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักงานข่าวกรอง กองบัญชาการตำรวจ สันติบาล ต่างไม่รายงานสิ่งที่ตรงไปตรงมากลับรายงานเพื่อให้รัฐบาลมีความสุข เช่น มีคนมาชุมนุม 1,000 บอก ก็ว่ามี 100 คน มีหลายหมื่นบอกมา 1,000 คน เป็นต้น การประเมินข่าวที่ไม่ตรงกับความจริงทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปได้ยาก ในฐานะที่เคยผ่านการต่อสู้ภาคประชาชนมาแล้ว จึงอยากเตือนรัฐบาลว่า ไม่ควรประมาทองค์การพิทักษ์สยาม พล.อ.บุญเลิศ เป็นเพียงแค่ฉากหน้า แต่องคาพยพที่ต่อต้านระบอบทักษิณล้วนเป็นคนหน้าเดิมทั้งสิ้น ล้วนรู้จักกับตนมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2535 การเมืองประเทศไทย ยังคงต้องเริ่มต้นจากความเป็นจริงไม่ว่าจะเบื่อหน่ายแค่ไหน หรือภาพเฉพาะหน้า อาจจะดูราบรื่นเป็นมิตร แต่ต้องไม่มองข้ามความจริงที่ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองยังดำรงอยู่ การเข้าสู่อำนาจของพรรคเพื่อไทย แม้จะเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย แม้นานาชาติได้แสดงเจตนารมณ์สนับสนุนให้ประเทศไทยเดินไปในวิถีทางนี้ เพื่อประโยชน์สุขของการอยู่ร่วมในชุมชนโลกแต่ "กลุ่มอำนาจเดิม" ยังไม่เปลี่ยนความคิด ยังดำรงความมุ่งหมายเดิม เปลี่ยนแต่ "วิธีการ"เมื่อวิธีการถูกกฎหมายใช้ไม่ได้ จะเปลี่ยนไปเป็นหนทางอื่นหรือไม่ ? คือข้อเท็จจริงหรือข่าวสารที่ต้องเสาะค้น เป็นข่าวที่ไม่ทำให้เกิด "ความสุข" แต่เป็น "ความจริง" ที่หลายรัฐบาลไม่อยากฟัง และจ่ายแพงเพื่อ "ซื้อ" บทเรียนนี้มาแล้ว