หยั่งเสียง "ส.ว." นัดชี้ชะตา "สุเทพ"

มติชน 17 กันยายน 2555 >>>


นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา ในฐานะรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี นายวันชัย สอนสิริ ส.ว.สรรหา ให้ความเห็นกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาจะลงมติถอดถอน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 18 กันยายน กรณีส่ง ส.ส.ปชป. และบุคคลอื่นจำนวน 19 คน ไปช่วยงานกระทรวงวัฒนธรรมที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด ว่าแทรกแซงการทำงานของของราชการ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กันยายน

สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย
ส.ว.สรรหา และรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1


ที่ผ่านมาการประชุมถือว่าเรียบร้อยดี และไม่เห็นว่าจะมีการล็อบบี้ ส.ว. ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะผมเองก็ตรวจสอบอยู่เหมือนกัน ขั้นตอนในวันที่ 17 กันยายน จะเป็นการแถลงปิดสำนวนด้วยวาจาทั้งจาก ป.ป.ช. และนายสุเทพ ผู้ถูกร้อง บทสรุปก็จะเป็นแนวทางในการตัดสินใจให้ ส.ว. ได้ใช้ดุลพินิจ ผมคิดว่าผลการลงมติในคดีนายสุเทพจะเป็นบทพิสูจน์การทำหน้าที่ของวุฒิสภาได้เป็นอย่างดี ได้ทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เป็นหน้าที่สำคัญของ ส.ว. ต้องขจัดนักการเมืองที่ประพฤติมิชอบ โดยกรอบหน้าที่แล้วต้องทำหน้าที่อย่างละเอียดรอบคอบ ตัดสินบนความถูกต้อง เป็นหน้าที่ต้องกระทำเพื่อประโยชน์ต่อบ้านเมือง ฉะนั้น กระบวนการถอดถอนจึงต้องมีความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เท่าที่ผมเคยทำหน้าที่มาครั้งที่ 4 ที่มีการถอดถอนบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ครั้งนี้เป็นพิเศษที่ได้ทำหน้าที่ควบคุมการประชุม ต้องเรียนว่าจะพยายามทำให้การประชุมเป็นไปอย่างโปร่งใส แม้จะมีบางครั้งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องเสนอให้เป็นการประชุมลับ แต่ผมก็คัดค้านเพราะเป็นเรื่องที่สังคมต้องรับทราบและร่วมตรวจสอบได้
ยืนยันว่าการทำหน้าที่ครั้งนี้เป็นไปอย่างยุติธรรม และเชื่อว่าการเดินสายล็อบบี้ไม่ว่าจากฟากไหนจะไม่เป็นผล ให้ความไว้วางใจ ส.ว. ได้ เพราะแต่ละท่านมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง

ดิเรก ถึงฝั่ง
ส.ว.นนทบุรี


กรณีการถอดถอนนายสุเทพเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 266 คือ ส.ส. และ ส.ว. ต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองของผู้อื่น หรือพรรคการเมือง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานของราชการ เพราะว่าเราได้พิจารณาแล้วว่ารัฐบาลกับข้าราชการต้องทำงานควบคู่กันไป เมื่อรัฐบาลออกนโยบายออกไป ข้าราชการก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อไปบริการประชาชน
ในกรณีถอดถอนนายสุเทพครั้งนี้ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด แต่ ส.ว. จะลงมติอย่างไรก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล เท่าที่ดูท่าทีของ ส.ว. แต่ละท่านก็มีความก้ำกึ่ง ในส่วนของ ส.ว. เองก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป บางกลุ่มก็มองว่าเป็นความผิดชัดแจ้ง แต่บางกลุ่มก็มองว่าความผิดไม่ร้ายแรง ยังไม่เกิดการกระทำ ส่วนการล็อบบี้นั้นเป็นธรรมดา เพราะ ส.ว. แต่ละท่านก็มีหมู่พวก เป็นเรื่องธรรมดามีการพูดคุยกัน เป็นวิถีทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ แต่คิดว่าเสียงที่จะถอดถอนนายสุเทพไม่น่าจะถึง 3 ใน 5 หรือ ประมาณ 89 เสียง คาดว่าจะมีประมาณ 60 เสียง ที่ลงมติถอดถอนนายสุเทพ ส่วน ส.ว.สรรหา น่าจะเป็นตัวชี้ขาด
อย่างไรก็ตาม คิดว่า ส.ว.จะพิจารณาเลือกได้โดยอิสระ จากหลักฐานที่ได้อ่านและฟังอย่างรอบด้าน แต่ในอนาคตยืนยันว่าต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 266 เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาการทำงานระหว่างรัฐบาลกับราชการ ในการขับเคลื่อนประเทศให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพ เพื่อประโยชน์ของประชาชน

วันชัย สอนสิริ
ส.ว.สรรหา


เท่าที่ทราบไม่มีคนจากกลุ่มการเมืองและ ส.ว. มาล็อบบี้ ไม่มีใครเดินเกม ไม่มี เพราะแต่ละคนก็ประพฤติอยู่ในกรอบของข้อบังคับวุฒิสภาและจรรยาบรรณ เวลามีประชุมย่อยก็ไม่ ส.ว. คนไหนหยิบยกกรณีถอดถอนนายสุเทพขึ้นมาพูดคุย อาจเป็นเพราะว่าเรื่องนายสุเทพเป็นเรื่องที่ ส.ว. เข้าใจได้ง่าย ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนว่านายสุเทพผิดหรือถูกตั้งแต่เริ่มพิจารณา ไล่มาตั้งแต่ ป.ป.ช. แถลงเปิดคดี นายสุเทพแถลงคัดค้าน และกรรมาธิการซัก ถาม ส.ว. ก็ให้ความสนใจอยู่ฟังกันมาก ผิดกับกรณีที่เคยผ่านมา ทั้งพยานหลักฐานและพยานที่ซับซ้อน และคิดว่า ส.ว. ตัดสินใจได้เองจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในเอกสารที่ได้รับ จากการตอบคำถามของ ป.ป.ช. และนายสุเทพเองก็จะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ทำให้มีอิสระในการตัดสินใจ เพราะต้องคำนึงถึงความถูกต้องมากกว่าพวกพ้อง ทั้ง ส.ว.สรรหา และเลือกตั้ง
คิดว่าการตัดสินใจในรอบนี้จะมีความเป็นอิสระเอาเหตุผลความถูกต้องอยู่เหนืออิทธิพลและการล็อบบี้ทั้งปวง