6 ปีรัฐประหาร

มติชน 17 กันยายน 2555 >>>


เหตุผลซึ่งคณะรัฐประหาร 2549 อ้างในประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ 1 ว่าการบริหารราชการของรัฐบาลที่แล้วก่อความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรักสามัคคีในชาติ, ส่อการทุจริตประพฤติมิชอบกว้างขวาง, องค์กรอิสระถูกครอบงำ ไม่สามารถสนองตอบเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ, หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบ่อยครั้ง และไม่อาจทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยุติลงได้ จึงได้ยึดอำนาจปกครองแผ่นดิน แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงวันนี้ที่จะครบรอบ 6 ปีรัฐประหารในอีกสามวันที่จะถึง นอกจากปัญหาดังกล่าวจะยังมิอาจสะสางให้สังคมเป็นปกติสุขได้ ปัญหาใหม่ยังสั่งสมเพิ่มความเดือดร้อนขึ้นอีกนานาประการ
ปัจจุบัน ไม่ว่าการรัฐประหาร 2549 จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ความเห็นของอารยประเทศทั่วโลกล้วนมีพ้องต้องกันเป็นคำเดียวว่า เผด็จการรัฐประหารมิได้เป็นคำตอบเรื่องระบอบการปกครอง ตรงกันข้าม เมื่อเกิดรัฐประหารขึ้น จึงกลับยิ่งเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนของคำตอบดังกล่าวนั้นว่า นอกจากมิได้แก้ไขปัญหาดังอ้างแล้ว ความสงบสุขของสังคมยังเกิดทุกข์นานาทบเพิ่มเข้าไปอีก ดังนั้น หากมีความคิดเห็นหรือความต้องการให้การปกครองหรือการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎรแล้ว เผด็จการรัฐประหารด้วยกำลังอาวุธ จึงต้องพ้นไปจากความคิดอ่าน ชนิดไม่ควรหลงเหลือเป็นเชื้อตะกอนใดๆ
ระบอบประชาธิปไตยนั้น แม้จะมีความยากลำบากในการบริหารทุกข์สุขของคนหมู่มาก บริหารความคิดเห็นอันแตกต่างหลากหลายของคนหมู่มาก แต่ก็เป็นระบอบซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้คนแต่ละกลุ่มในสังคม สามารถมีปากเสียงของตัว แลกเปลี่ยนความคิดเห็นพิทักษ์ผลประโยชน์ของตัวโดยไม่ละทิ้งประโยชน์ผู้อื่น เป็นสังคมซึ่งต้องรอมชอมความต้องการต่างๆ ให้ต่างได้ประโยชน์กันทั่วถึงแม้จะไม่ได้ทั้งหมด ก็เพราะต่างยังต้องสละประโยชน์บางส่วนของแต่ละฝ่ายเพื่อประโยชน์สูงสุดร่วมกันของสังคม อันเป็นความอารีที่คนหมู่มากจะอยู่ร่วมกันไปอย่างเปี่ยมสันติสุขได้ ซึ่งในการณ์ดังกล่าวมานี้ มิอาจเกิดขึ้นโดยอำนาจเผด็จการรัฐประหาร
เพราะฉะนั้น ภาระหน้าที่เดียวกันที่คนในสังคมประชาธิปไตยมี คือความอดทนที่จะยอมรับและเข้าใจความแตกต่าง ไม่ว่าจะโดยชาติพันธุ์ ความเชื่อ หรือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งที่จะได้รับและที่จะเอื้อเฟื้อต่อคนร่วมสังคม ปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้น ก็ต้องคลี่คลายลงด้วยกฎกติกาที่ตกลงร่วมกัน ถกเถียงอย่างมุ่งมั่นที่จะได้คำตอบร่วมกัน ซึ่งต้องอยู่บนบรรทัดฐานของสติและปัญญาในเป้าหมายของการนำพาสังคมให้มั่นคงก้าวหน้า โดยปราศจากมิจฉาทิฐิอันเป็นความต้องการส่วนตน วิถีที่พูดได้ง่ายๆ นี้สามารถดำเนินไปได้ง่ายๆ เช่นกัน เมื่อคนเห็นกับประโยชน์ของคนหมู่มากร่วมกันยิ่งกว่าจะพลิกแพลงเอาทุกทางเพื่อประโยชน์ส่วนตน