17 กันยายนนี้ เป็นวันสำคัญของคนเสื้อแดง เพราะเป็นวันที่ศาลอาญานัดฟังคำสั่งสำนวนไต่สวนชันสูตรศพนายพัน คำกอง แท็กซี่เสื้อแดง ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่ถนนราชปรารภ ในเหตุการณ์กระชับพื้นที่ เมื่อกลางดึกของวันที่ 15 พ.ค. 2553
ที่บอกว่าเป็นก้าวสำคัญของคดีสลายม็อบแดง 98 ศพ เนื่องจากคดีนายพัน คำกอง เป็น 1 ใน 36 คดีที่พนักงานอัยการมีความเห็นส่งขึ้นศาล เพราะเชื่อว่าเป็นการตายที่อาจเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ !
ฉะนั้นหากศาลมีคำสั่งเห็นพ้องตามอัยการ ก็จะทำคำสั่งส่งไปอัยการ เพื่อส่งต่อพนักงานสอบสวนดำเนินการตั้งเป็นสำนวนคดีฆาตกรรมทันที !?
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุถึงขั้นตอนของคดีนี้ว่า เมื่อมีการตั้งสำนวนนายพัน คำกอง เป็นคดีฆาตกรรมแล้ว ก็จะมีกฎหมายอยู่ 4 มาตราเกี่ยวข้องด้วย แต่มีมาตรา 70 ที่ระบุว่า ผู้ใดกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน แม้คำสั่งนั้นจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ผู้กระทำมีหน้าที่ หรือเชื่อโดยบริสุทธิ์ว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ไม่ต้องรับโทษ
มาตรานี้คุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ต้องรับโทษเพราะปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งอาจกันไว้เป็นพยาน แต่คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือ "ผู้สั่งการสูงสุด"
โดยพนักงานสอบสวนต้องไล่สอบตั้งแต่เจ้าหน้าที่ชุดประจำการในจุดเกิดเหตุ คือบริเวณที่นายพัน คำกอง ถูกยิงเสียชีวิตที่ถนนราชปรารภ สอบให้ชัดว่าใครเป็น ผบ.หมู่ ผบ.ร้อย ผบ.พัน ผบ.เหตุการณ์ สอบสวนว่ารับคำสั่งมาจากใครเป็นทอดๆ
ท้ายสุดแล้วก็ไปจบที่ ศอฉ. เพราะเป็นคนออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธจริงในการสลายม็อบเสื้อแดง
ต้องไล่เบี้ยเอาผิดกับผู้มีอำนาจใน ศอฉ. ขณะนั้น
ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้ลงนามแต่งตั้งผู้อำนวยการและกรรมการใน ศอฉ. ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดเช่นกัน
