คดีสลายม็อบ 98 ศพ ยิ่งสืบพยาน ยิ่งพบ "ความจริง" เพิ่มมากขึ้นลำพังฆ่าคนตายคนเดียว ก็หืดขึ้นคอ ด้วยระวางโทษระดับประหารไปจนถึงจำคุกแต่นี่ 98 ศพคดีพยายามฆ่าก็เช่นกันสามัญชนทั่วไป เจอข้อหาพยายามฆ่าเข้าไป ผู้เสียหาย 1-2 คน ก็เห็นตะรางลอยมาลิบๆ แต่นี่พยายามฆ่าล็อตยักษ์ 2,000 คนนับเป็นคดีใหญ่ที่ท้าทายทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย แม้นักสิทธิมนุษยชนตำรับไทยจะยืนยันหนักแน่นว่า เป็นการกระทำสมควรแก่เหตุ ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ยากที่จะทำให้วิญญูชนเห็นด้วยปัญหาของคดี 98 ศพ เริ่มต้นจากการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองแต่รัฐบาลขณะนั้น ตัดสินใจใช้กำลังทหารติดอาวุธออกดำเนินการ แทนที่จะใช้หน่วยปราบจลาจล เป็นความผิดพลาดประการแรก และประการสำคัญ แม้จะมีความพยายามป้องกันตัวไว้ก่อน ด้วยการประกาศใช้กฎหมายสำหรับสถานการณ์พิเศษ แม้จะมีการประกาศใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก การใช้กำลังทหารในตอนย่ำค่ำ ที่สี่แยกคอกวัว คือความผิดพลาดต่อมาการใช้สไนเปอร์ลอบยิงผู้ชุมนุม ผลคือมีผู้เสียชีวิตในลักษณะที่โดนกระสุนเข้าที่ศีรษะ ใบหน้า จำนวนมากผิดสังเกต แม้เมื่อมีโอกาสที่จะหยุดการปะทะได้ แต่กลับเดินหน้าและถลำลึก จนกระทั่งตัวเลขเดินทางไปถึง 98 ศพ ซึ่งปิดท้ายด้วยการสังหาร 6 ศพ ที่วัดปทุมวนารามฯ หลังจากแกนนำเสื้อแดง ประกาศสลายการชุมนุมแล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้ คำถามสำคัญคือ ใครสังหาร 98 ศพ ใครสั่งการ และใครต้องรับผิดชอบหลังจาก 3 ก.ค. 2554 คดี 98 ศพ ที่โดนแช่เย็นมาอย่างยาวนาน กลับคืนชีพมาอีกครั้ง คำแถลงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ล่าสุด ระบุว่า มีหลักฐานชี้ชัดว่า มีผู้เสียชีวิตเพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่ 38 ศพ จากทั้งหมด 98 ศพ ขณะที่การเบิกความ การให้ปากคำของผู้เกี่ยวข้อง ทำให้เห็นภาพของเหตุการณ์ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆว่า ใครสั่งการ ใครดำเนินการ
ชื่อเสียงเรียงนามของพลซุ่มยิง หรือพลแม่นปืน ก็ปรากฏต่อสังคมไปแล้วแต่ความจริงแท้ที่ต้องยอมรับคือ ไม่มีทางที่คดีนี้จะเดินหน้าไปสู่ข้อสรุปอย่างราบรื่น โดยไร้ข้อโต้แย้งด้วยเหตุผลอย่างน้อยที่สุด 2 ประการ
ประการหนึ่ง เป็นการต่อสู้คดีในกระบวนการยุติธรรมปกติ ที่สองฝ่ายมีสิทธิเท่าๆกัน แตกต่างจากกระบวนการพิเศษหลังการปฏิวัติรัฐประหาร ประการหนึ่ง คดีมีเดิมพันระดับคุกตะราง และจะเป็นความผิดติดตัว ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำเสนอ "ชายชุดดำ" เข้ามาในคดีโดยกำหนดให้มีบทบาทเป็นเจ้าของผลงานการสังหาร ทั้งผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่รัฐบาล หลังจากโหมโรงมา 2 ปี นับเป็นโอกาสดีที่จะได้พิสูจน์เรื่องราวและศักยภาพของชายชุดดำ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำเสนอข้อมูลแปลกๆ อาทิ วิถีกระสุนของ 2 ศพ วัดปทุมฯ ที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า กระสุนเข้าจากด้านล่างของร่างกาย แล้วจะกล่าวหาทหารบนรถไฟฟ้าได้อย่างไร แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญชี้ไว้ก่อนแล้วว่า กระสุนที่เข้าจากเอวไปออกหัวไหล่ เป็นผลจากการที่เหยื่อกระสุนอยู่ในท่าหมอบหลบกระสุนปืนก็ตาม เป็นวิธีสร้างความ "ซับซ้อน" เพิ่ม "เรื่องราว" เพื่อทำลายน้ำหนักของข้อเท็จจริงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นมุขเดียวกับ "มือที่สาม" หรือ "ผู้ไม่หวังดี" ในยุคซิกส์ตี้-เซเว่นตี้ ที่สหรัฐ เป็นผู้นำต่อต้านคอมมิวนิสต์ จะยังได้ผลหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องลุ้น