"ปณิธาน" เข้าแจงคดีสลายม็อบ 53 สงสัย "ดีเอสไอ" ถูกการเมืองกดดัน "ประเวศน์" ระบุเร่งอ่านรายงาน คอป. ย้ำต้องตรวจสอบละเอียดถึงที่มาข้อเท็จจริง
พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า พนักงานสอบสวนเตรียมคำถามเพื่อสอบคำให้การของนายปณิธาน วัฒนายากร ในฐานะโฆษกรัฐบาล ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่มีความใกล้ชิดกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และเข้าร่วมประชุม ศอฉ. จึงมีความจำเป็นต้องเรียกมาสอบปากคำ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกระชับพื้นที่
อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการสอบสวนคดีการเสียชีวิต 92 ศพ เนื่องจากยังมีข้อเท็จจริงอีกจำนวนมากที่ยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังต้องตรวจสอบรายงานฉบับสมบูรณ์ ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งมีรายละเอียดเพิ่มเติมขึ้นมาจากสำนวนการสอบสวนเดิมของดีเอสไอ
“ดีเอสไอต้องตรวจสอบรายงานของ คอป. อย่างละเอียดว่า ได้รับข้อเท็จจริงมาจากแหล่งข้อมูลใด และข้อเท็จจริงมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร จากนั้นจะประชุมร่วมกันว่ามีความจำเป็นต้องเรียกกรรมการคอป.เข้าให้การต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่” พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าว
พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวต่อว่า ในวันพุธที่ 26 ก.ย. นี้ พนักงานสอบสวนเรียก พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษา สบ.10 เข้าให้ปากคำในฐานะผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขณะเกิดเหตุกระชับและขอคืนพื้นที่ จากนั้นในวันที่ 28 ก.ย. เป็นคิวของนายประสพสุข บุญเดช อดีตรองประธานวุฒิสภา
ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น. นายปณิธาน วัฒนายากร อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอตามหมายเรียกเข้าให้การคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนจำนวน 92 ศพ โดยนายปณิธาน ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าให้ปากคำว่า เป็นการเข้าพบเพื่อยืนยันข้อมูลเดิมว่ารัฐบาลไม่มีเจตนาทำให้ประชาชนบาดเจ็บ แค่ต้องการทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบ ซึ่งหลักการและข้อมูลการทำงานทั้งหมดของรัฐบาลระบุไว้ชัดเจน ว่าเป็นการทำงานตามโครงสร้างอำนาจและมีขั้นตอน
โดยเอกสารของรัฐบาลจะถูกเก็บอยู่ที่สำนักงานเลขาธิการรัฐมนตรีซึ่งดีเอสไอสามารถขอเอกสารเหล่านี้มาประกอบการพิจารณาได้ โดยเฉพาะการรายงานความคืบหน้าของคดีที่ดีเอสไอดำเนินการเป็นระยะๆ ก็มีหลักฐานปรากฏชัดเจน อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวอาจมีข้อเท็จจริงบางอย่างชี้แจงเพิ่มเติม เนื่องจากขณะนี้มีการเปิดเผยรายงานใหม่ ๆ ออกมาทั้งจาก คอป. รวมถึงข้อมูลการวิเคราะห์และวิจัยเพราะตนได้กลับมาทำงานเป็นอาจารย์จึงมีโอกาสได้ทำงานวิจัยหลายเรื่อง ตลอดจนข้อมูลที่ปรากฏผ่านสื่อทั้งไทยและต่างประเทศที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของดีเอสไอที่ขณะนี้ถูกตั้งข้อสงสัยว่าถูกการเมืองกดดัน
“ข้อมูลเพิ่มเติมที่นำมาส่วนใหญ่เป็นข้อมูลในสื่อ ข้อมูลจากการวิเคราะห์วิจัย ซึ่งงานวิจัยหลายเรื่องอาจเป็นประโยชน์กับดีเอสไอในแง่ของการทำงาน เนื่องจากโครงสร้างดีเอสไอคือช่วยการทำงานของรัฐบาลทุกรัฐบาลอยู่แล้ว ตนเชื่อว่าดีเอสไอมีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ ความสามารถเป็นมืออาชีพอยู่เยอะ แต่ขณะนี้มีข้อสงสัยว่าบางส่วนอาจถูกกดดันทางการเมืองหรือไม่ ทำให้ส่งผลถึงการตั้งคำถาม การให้ข่าว ซึ่งวันนี้ตนจะนำข้อมูลมาเสริม เพื่อให้ดีเอสไอทำงานได้อย่างมืออาชีพ” นายปณิธาน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อมูลของชายชุดดำ นายปณิธาน กล่าวว่า ขณะนี้คงไม่จำเป็นต้องถกเถียงกันถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะมีรายงานหลายฉบับทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึง คอป. โดยเฉพาะของสื่อต่างประเทศที่มีการรายงานเรื่องชายชุดดำอยู่หลายสำนัก มีหลักฐานและการสัมภาษณ์ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งสื่อต่างประเทศเหล่านี้ล้วนเป็นสื่อที่มีความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าดีเอสไอมีการดำเนินการในเรื่องนี้ไปบ้างแล้ว บางคดีศาลได้ตัดสินบางคดีอยู่ระหว่างการไต่สวน ซึ่งในข้อเท็จจริงชั้นศาลได้เดินหน้าไปไกลแล้ว แต่ข้อถกเถียงที่มีอยู่ขณะนี้มองว่าเป็นความพยายามทำให้เป็นประเด็นการเมืองเท่านั้น
ส่วนกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ระบุจะแจ้งข้อกล่าวหาเจตนาฆ่าหลังศาลวินิจฉัยการเสียชีวิตนายพัน คำกอง เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐนั้น นายปณิธาน กล่าวว่า ขั้นตอนเป็นกระบวนการเริ่มต้นการชี้สาเหตุการเสียชีวิต ยังมีอีกหลายขั้นตอนต้องพิจารณา โดยเฉพาะการพิจารณาเจตนา ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาชี้แจงลำดับขั้นการทำงานแล้ว
ดังนั้น การออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าวถือเป็นการชี้นำอาจทำให้เกิดความสับสนมาก ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ไม่ควรออกมาชี้นำทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของดีเอสไอซึ่งมีบางส่วนเข้าร่วมเป็นกรรมการ ศอฉ. จึงน่าจะมีข้อมูลการประชุมที่นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีได้ ส่วนตัวรู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่ดีเอสไอหลายคนที่อาจถูกกดดันการทำงาน ซึ่งตนเข้าใจเพราะขณะนี้ก็เป็นข้าราชการประจำคนหนึ่ง การทำงานอาจมีบ้างที่ถูกกดดันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม แต่ตนไม่รู้ว่าอธิบดีดีเอสไอจะตกอยู่ในภาวะนี้หรือไม่