ประชาไท 16 สิงหาคม 2555 >>>
วิธีหนึ่งที่เราจะสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมคนไทยจำนวนหนึ่งเชื่อและยึดมั่น ใน ‘ความดี’ และ ‘คนดี’ อย่างที่ตรวจสอบและวิพากษ์ไม่ได้ นั่นคือการมองความเชื่อและการยึดมั่นของคนเหล่านั้นต่อสถาบันกษัตริย์และ ในหลวงผ่านมิติทางศาสนา
ในสังคมที่ผู้คนจำนวนมิน้อยเชื่อว่านักการเมืองส่วนใหญ่นั้นโกงกิน เลวและเห็นแต่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง (ซึ่งเป็นผลพวงของสังคมที่สามารถตรวจสอบวิพากษ์นักการเมืองได้มากขึ้นเป็น ลำดับ) ผู้คนจำนวนไม่น้อยถวิลหาความดีและคนดีแบบมิต้องสงสัยหรือถ้าสงสัยก็ต้องถูก ห้ามมิให้วิพากษ์หรือแสดงข้อกังขาสงสัยในที่สาธารณะ การยึดมั่นยกย่องให้สถาบันกษัตริย์และในหลวงเป็นสถาบันและบุคคลที่ดีเหนือ ความสงสัยและวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้นจึงมีมิติทางศาสนาเหมือนผู้เคร่งครัดหรือยึดติดกับศาสนา (religious extremism and fundamentalism) ที่จะยอมให้ศาสนาและพระเจ้าของพวกเขาถูกผู้ใดหมิ่นหรือวิพากษ์วิจารณ์มิได้ เพราะความ ‘ศักดิ์สิทธิ์’ จะลดลงหรืออาจหมดไปหากปล่อยให้ความเชื่อของพวกเขาและสถาบันฯ รวมถึงผู้ที่พวกเขายึดมั่นถูกตั้งคำถามหรือวิพากษ์ได้
หากการบูชาสถาบันกษัตริย์เป็นศาสนาและกษัตริย์เป็นดุจพระเจ้าในสายตาผู้ ที่รักเจ้าอย่างไม่รู้จักพอเพียง คำสอนของในหลวง หรือพระราชดำริที่รวมเป็นเล่มๆ และมีขายตามร้านหนังสือทั่วไปย่อมไม่ต่างจากพระคัมภีร์ที่สื่อกระแสหลักไม่ ว่าทีวี วิทยุหรือหนังสือพิมพ์มักนำมาผลิตซ้ำๆ ซ้ำๆ ซ้ำๆ และถี่ๆ อย่างไม่มีวันพอเพียง ในศาสนาที่มีพระผู้เป็นเจ้าแต่พระองค์เดียว ย่อมต้องมีซาตาน
ซาตานในอดีตยุคสงครามเย็นอาจเป็นพรรคคอมมูนิสต์ แต่ทุกวันนี้ซาตานในสายตาคนรักเจ้าอย่างไม่รู้จักพอเพียงได้แก่ ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดง รวมทั้งคนที่ไม่เอา ม.112 หรือเท่าทันสถาบันฯ กษัตริย์ ซึ่งก็ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกล้มเจ้าล้มสถาบันฯ อันเป็นศาสนาหรือลัทธิของผู้รักเจ้าอย่างไม่รู้จักพอเพียงไปเสียแล้ว
การปฏิบัติตนเป็นคนดีในศาสนาบูชาเจ้า สามารถกระทำได้โดยการล่าแม่มดทางอินเทอร์เน็ต อย่างที่เคยกระทำกับสาวน้อยที่ใช้นามแฝงว่า "ก้านธูป" หรือกับคนอย่างนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ที่ปฏิเสธที่จะยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง
การตอกย้ำแสดง ‘ความรัก’ และจงรักภักดีถี่ๆ ซ้ำๆ อย่างไม่รู้จักพอเพียงก็ถือได้ว่าเป็นพิธีกรรมที่มีมิติทางศาสนาชนิดหนึ่ง ที่ผู้ปฏิบัติยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกอิน (involved) หรือมีความรู้สึกร่วมกับความเชื่อที่เหมือนศาสนาของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างจากคนไปนั่งทำสมาธิหรือทำบุญสักเท่าไร (ตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้ของการมีส่วนร่วมในพิธีกรรมทางอินเทอร์เน็ตใน เฟซบุ๊ก คือปรากฏการณ์ภาพของเมฆที่คล้ายภาพถ่ายในหลวงที่ทรงถือวิทยุสื่อสาร ซึ่งมีคนกด Like มากกว่า 60,000 คน)
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในหลวงเองยังเคยมีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ว่าวิจารณ์พระองค์ได้ แต่บรรดาผู้รักเจ้าอย่างไม่รู้จักพอเพียงก็ยังสนับสนุนกฎหมายหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพ (ม.112) อย่างแข็งขันและต่อต้านการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายนี้ในทุกรูปแบบ-ทั้งนี้เพราะลึกๆ แล้วพวกเขาอาจเกรงว่าวันใดที่ข้อมูลต่างและข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับสถาบันฯ ถูกเผยแพร่ได้โดยไม่ผิดกฎหมายและประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ ได้ ภาพขาวดำดีชั่วแบบสุดขั้วที่พวกเขายึดมั่นดั่งเป็นสรณะทางศาสนาอาจได้รับผล กระทบและมันอาจกระทบต่อศรัทธาของคนรักเจ้าอย่างไม่รู้จักพอเพียงเอง
แท้จริงแล้ว คนรักเจ้าอย่างไม่รู้จักพอเพียงมุ่งปกป้องความเชื่อของพวกเขาที่ดูเหมือนได้ กลายเป็นศาสนาไปแล้ว ให้อยู่เหนือสิ่งอื่นใด เพราะมันช่วยให้คนเหล่านี้รู้สึกมั่นคงในความเชื่อของพวกเขา ที่พวกเขาเชื่อว่าสามารถช่วยจรรโลงใจเขาให้ดำเนินชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมี ความหมายและความภาคภูมิใจในสิ่งและคนที่ ‘ดี’ อย่างปราศจากข้อสงสัยใดๆ และการพยายามตั้งคำถามใดๆ ก็มักจะทำให้บรรดาผู้รักเจ้าอย่างไม่รู้จักพอเพียงรู้สึกมีอารมณ์โกรธจนมัก ควบคุมตนเองมิได้ เพราะคำถามเหล่านั้นไปกระทบความเชื่อของพวกเขาที่พวกเขาไม่ต้องการให้มีการ ตั้งคำถามหรือสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น