กลายเป็นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่คนในสังคม ชาวไซเบอร์ และสื่อทั่วโลกกล่าวขวัญมากที่สุดครั้งหนึ่ง กับรูปถ่ายสุดฮือฮาของ “ชายหนุ่มผมแดง” ผู้หนึ่งที่อยู่ในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อน ขณะเข้าสวมกอดสาวเปลือยนิรนามจากด้านหลังอย่างน่าเสียวไส้ ก่อนจะใช้มือกุมของลับเดินโทงเทงไปทั่วงานปาร์ตี้ในห้องโรงแรมสุดหรูแห่งหนึ่ง
สาเหตุที่ใครต่อใครแห่คลิกชมและแชร์ภาพดังกล่าวกันอย่างถล่มทลายนั้น ก็เพราะว่าชายหนุ่มที่อยู่ในภาพนั้น ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วๆ ไปที่กำลังเอ็นจอยปาร์ตี้อย่างสุดเหวี่ยงกับเพื่อนสาว ทว่าเป็นถึง “องค์รัชทายาทผู้สืบบังลังก์ลำดับที่ 3 แห่งราชวงศ์อังกฤษ” หรือ “เจ้าชายแฮร์รี” ที่เรารู้จักและคุ้นหูกันเป็นอย่างดีนี่เอง
เชื่อได้ว่า สำหรับคนที่เคยติดตามข่าวค(ร)าวราชวงศ์ผู้ดีมาโดยตลอด คงพอจะรู้ว่าเหตุอื้อฉาวครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของเจ้าชายเพลย์บอยผู้นี้ เพราะหากยังจำกันได้ ทันทีที่ทรงแตกเนื้อหนุ่ม พระองค์ก็ทรงใจแตกสร้างวีรกรรมฉาวๆ ให้ติดตามผ่านหน้าหนึ่งของสื่อทุกสำนักอย่างไม่เว้นแต่ละวัน
ย้อนอดีตไล่เรียงกันไปตั้งแต่ปี 2002 ที่พระองค์ยังคงมีพระชันษาเยาว์วัยเพียง 17 ชันษา พระองค์ก็ออกมายอมรับแต่โดยดีว่า ทรงเสวยเครื่องดื่มมึนเมา แถมยังทรงแอบซี้ดกัญชากับพระสหายอย่างเมามันแบบไม่รู้วันรู้เดือนอีกด้วย ร้อนถึงเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ พระบิดาต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ทรงส่งตัวเจ้าชายคอทองแดงเข้าสถานบำบัดในทันที
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความพยายามของผู้เป็นพ่อจะไร้ประโยชน์ เพราะหลังจากนั้นสื่อทั่วโลกก็ยังคงสามารถเก็บภาพเจ้าชายขณะทรงปาร์ตี้สุดเหวี่ยงและเสพของมึนเมาอย่างเมามันอยู่อย่างต่อเนื่อง
นอกจากพฤติกรรมสิงห์รมควันและขาเมาประจำปาร์ตี้แล้ว เจ้าชายแฮร์รี หรือดยุกแห่งออกซฟอร์ด ยังมักตกเป็นขี้ปาก หลังประพฤติตัวไม่เหมาะสมอีกหลายต่อหลายครั้งอีกด้วย
ไล่กันไปตั้งแต่เมื่อปี 2005 ที่ทรงใส่ชุดยูนิฟอร์มนาซี พร้อมสัญลักษณ์สวัสติกะเต็มยศ ในงานคอสตูมปาร์ตี้ ซึ่งสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ท่ามกลางชุมชนชาวยิวในอังกฤษเป็นอย่างมาก ไปจนถึงการที่เจ้าชายขี่ม้าซึ่งกำลังอยู่ในอาการบาดเจ็บเลือดออกในการแข่งขันโปโล ทำให้นักเคลื่อนไหวพิทักษ์การกระทำรุนแรงต่อสัตว์ ถึงกับอดทนไม่ไหวต้องออกโรงประฌามการมีจิตใจโหดร้ายของเจ้าชายกันยกใหญ่ทีเดียว
หรือแม้แต่เมื่อปี 2006 พระองค์ก็ไม่วายมีปากมีเสียงกับ อาเหม็ด ราซา คาน นายทหารนายหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวปาเลสไตน์ หลังจากทรงเข้ารับราชการในกองทัพเพียงไม่นาน
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทั้งคู่เกิดผิดใจกัน เนื่องจากเจ้าชายกล่าวเหยียดเชื้อชาติด้วยการเรียกหนุ่มคานว่า “หัวผ้าขี้ริ้ว” ซึ่งในครั้งนั้น เจ้าชายแฮร์รี ต้องเข้าไปปรับความเข้าใจและขอโทษขอโพยกันยกใหญ่เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม หากพลิกหน้าประวัติศาสตร์ราชวงศ์ผู้ดีดูดีๆ จะพบว่า วีรกรรมฉาวๆ ของดยุกแห่งออกซฟอร์ดผู้นี้ แทบจะเทียบอะไรไม่ได้เลยกับวีรกรรมของสมาชิกราชวงศ์อังกฤษในอดีต ที่เรียกได้ว่า แซ่บเว่อร์!
ว่ากันว่า สมาชิกราชวงศ์อังกฤษที่เรียกได้ว่า “ฉาวได้โล่” ที่สุดคงต้องยกให้กับ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร ที่ เคธี เบนจามิน ผู้เขียนบทบรรณาธิการของเว็บไซต์เมนทอลฟรอส ถึงขนาดตราหน้าว่าเป็นสมาชิกราชวงศ์ที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษเลยทีเดียว
เหตุเพราะนับตั้งแต่ก่อนที่พระเจ้าจอร์จที่ 4 ทรงขึ้นครองราชย์ปกครองประเทศ พระองค์ก็ได้สร้างกระแสฉาวให้ตัวพระองค์เองแทบนับครั้งไม่ถ้วน โดยนอกจากพระองค์เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ในฐานะกษัตริย์ผู้ทรงเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตอย่างหรูหราและฟุ่มเฟือยตลอดพระชนม์ชีพแล้ว คิงจอร์จ ยังได้ชื่อว่า เป็นกษัตริย์ที่ “บ้าคลั่งสตรีเพศ” อย่างหนักอีกด้วย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แม้ว่า คิงจอร์จ จะไม่ใช่กษัตริย์ที่มีพระสิริโฉมงดงามดังเทพบุตร ด้วยทรงมีน้ำหนักถึง 111 กิโลกรัม โดยที่มีรอบเอวถึง 50 นิ้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคในการหาสาวๆ มาขึ้นเตียงเพื่อสนองพระตัณหาแต่อย่างใด เพราะด้วยพลังอำนาจแห่ง “เงิน” พระองค์จึงใช้เหตุผลนี้มาเป็นข้อต่อรองและหลอกล่อ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการยอมเป็น “ของเล่นแก้เหงา” ในยามค่ำคืน ซึ่งในบางคืนพระองค์ยอมทุ่มทุนจำนวนมหาศาล ซึ่งหากเทียบมูลค่าในปัจจุบันอาจสูงถึงหลายล้านปอนด์เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าววงในแย้มว่า ในบางครั้งเมื่อเสร็จสมอารมณ์หมายแล้ว คิงจอร์จ จะชักดาบไม่ยอมจ่ายเงินตามที่สัญญาไว้เสียดื้อๆ อีกด้วย เดือดร้อนถึงพระเจ้าจอร์จที่ 3 ผู้เป็นพระบิดา จำเป็นต้องตามเคลียร์ปัญหา ซึ่งในบางครั้งอาจหมายถึงการเคลียร์ปัญหาเด็กในท้องให้แทน ประหนึ่งเป็นการปิดปากสาวๆ เหล่านั้น ไม่ให้เอาเรื่องไปแฉกับสื่อนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าจอร์จที่ 4 ยังเป็นผีพนันตัวยง ซึ่งเคยหมดเนื้อหมดตัวถึงขนาดเคยมีเจ้าหนี้หน้าเลือดมาล้อมพระราชวังเพื่อกดดันให้พระองค์คืนเงินที่ติดหนี้ไว้อีกด้วย
อย่างไรก็แล้วแต่ วีรกรรมที่ฉาวที่สุดของพระองค์คงหนีไม่พ้นการแต่งงานกับสามัญชนที่เป็นสาวคาทอลิกที่มีชื่อว่า มาเรีย ฟิซเฮอร์เบิร์ต เพราะในขณะนั้นการกระทำดังกล่าว นอกจากจะผิดจารีตอย่างรุนแรงแล้ว ยังผิดกฎหมายอีกด้วย
การแต่งงานในครั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากความรักลึกซึ้งหรืออย่างไร แต่เกิดจากการอยากเอาชนะสาวมาเรีย ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ไม่ยอมพลีกายให้กับพระองค์ แม้จะได้รับข้อเสนอเป็นสินทรัพย์จำนวนมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ถูกตามตื๊อแกมขู่เข็ญจากหลายฝ่าย รวมถึงจากตัวของพระเจ้าจอร์จที่ 4 เอง ซึ่งเขียนจดหมายที่มีความยาวถึง 42 หน้า ขู่ว่าหากสาวมาเรียไม่ยอม พระองค์จะฆ่าพระองค์เอง ในที่สุดสาวมาเรียก็จำยอมทำตามพระประสงค์ โดยมีข้อแม้ข้อเดียวคือ พระองค์จำเป็นต้องแต่งงานกับเธอเท่านั้น !
ด้วยตัณหาบังตา พระเจ้าจอร์จที่ 4 จึงยอมแหกจารีตปฏิบัติและฉีกกฎหมายทิ้ง แต่งงานกับสาวคาทอลิกผู้นี้ โดยที่ทั้งสองอยู่กินกันนานถึง 10 ปีเต็ม ก่อนที่พระองค์เฉดหัวมาเรียกลับบ้านเก่า ภายหลังจากที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับเจ้าหญิงต่างชาติตามประเพณี
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าจอร์จที่ 4 ทรงยอมทำตามพระประสงค์ของพระบิดา อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงต่างชาติที่พระองค์ทรงเกลียดเข้าไส้ ทว่าวีรกรรมที่ผ่านมานับไม่ถ้วน ก็ไม่สามารถลบล้าง “ความฉาว” ที่ติดอยู่ในสารบบของประชาชนได้เลย
กระนั้นก็ตาม ความฉาวคาวโลกีย์แห่งราชวงศ์ผู้ดีไม่ได้หยุดอยู่ที่พระเจ้าจอร์จที่ 4 เท่านั้น เพราะสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งราชวงศ์ผู้ดี หรือที่สมาชิกราชวงศ์เรียกว่า “เบอร์ตี้” ก็ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งกษัตริย์ที่ทรงปฏิบัติกิจกรรมบนเตียงเป็นว่าเล่นไม่แพ้กัน
ว่ากันว่า ตลอดระยะเวลาที่พระองค์มีลมหายใจอยู่ พระองค์ทรงคั่วสาวไม่เลือกหน้านับพันคนเลยทีเดียว โดยความไม่มีลิมิตนี้ ทำให้พระองค์เคยตีท้ายครัวเพื่อนสนิทของพระองค์ จนเกิดการแบล็กเมล์กันจ้าละหวั่นเลยทีเดียว
ทั้งนี้ อาจเรียกได้ว่า ปมความ “มากรัก” องค์เบอร์ตี้ มาจากการได้รับความกดดันจาก ควีนวิกตอเรียและพรินซ์อัลเบิร์ต พระบิดาและพระมารดาล้วนๆ ที่ทรงลงโทษพระองค์อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอแบบนันสต็อปและถึงขั้นเกือบตัดขาดกันเลยทีเดียว ภายหลังจากที่ทรงสืบรู้ว่า คิงเอ็ดเวิร์ดได้ทรงก่อวีรกรรมดอดไป “เที่ยวผู้หญิงกลางคืน” อยู่บ่อยครั้ง เมื่อเข้ารับราชการทหารในกองทัพ เมื่อครั้งที่มีพระชนม์มายุได้เพียง 19 พรรษา ซึ่งในทุกๆ ครั้งหลังเสร็จกิจ พระองค์ก็ทรงนำมาบันทึกความประทับใจลงในไดอะรีส่วนพระองค์อยู่โดยตลอด
“ควีนวิกตอเรียและพรินซ์อัลเบิร์ตทรงโกรธมากกับการกระทำดังกล่าว เพราะทั้งสองพระองค์มองว่าคิงเอ็ดเวิร์ดทรงแปดเปื้อนแล้ว ทำให้นับตั้งแต่นี้ไปคิงเอ็ดเวิร์ดจะไม่สามารถแต่งงานกับสาวๆ คนใดได้อีก” ฟิซเฮอร์เบิร์ต กล่าว
รายงานระบุว่า เรื่องอื้อฉาวดังกล่าวส่งผลให้พรินซ์อัลเบิร์ต ผู้เป็นบิดา เสียพระทัยจนประชวรหนัก และเสด็จสวรรคตในที่สุด โดยที่ควีนวิกตอเรียก็ทรงไม่วายกล่าวโทษสาเหตุการเสด็จสวรรคตของพระสวามีสุดที่รักเป็นเพราะการถูกพระโอรสในไส้หักหลัง ไปมีสัมพันธ์สวาทกับผู้หญิงกลางคืนนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม อาจเรียกได้ว่า พฤติกรรมฉาวของ องค์เอ็ดเวิร์ดไม่ได้ตกทอดมาจากที่ไหนไกล แต่เป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นนั่นเอง
เพราะแม้ดูเหมือนว่าควีนวิกตอเรียจะทรงประพฤติพระองค์อยู่ในกรอบศีลธรรมมาโดยตลอด ทว่าภายหลังจากพระสวามีเสด็จสวรรคต พระองค์ก็เริ่มเผยด้านมืดของพระองค์ออกมาทีละน้อย
เห็นได้จาก การที่พระองค์ทรงแหกจารีตความเหมาะสมในราชวงศ์ ไม่แพ้กรณีของพระโอรสของพระองค์ ด้วยการแอบไปปลูกต้นรักต้นใหม่กับ จอห์น บราวน์ ซึ่งเป็นอดีตคนรับใช้ในวังชาวสกอตแลนด์
ถึงแม้ว่า ควีน ทรงพยายามเก็บความสัมพันธ์ต้องห้ามครั้งนี้ไว้เป็นความลับ แต่ความเคลื่อนไหวของทั้งคู่ก็ไม่สามารถหลุดรอดสายตาของสื่อหลายสำนักในอังกฤษได้เลย
สื่อระบุว่า นอกจากทั้งสองคนแอบเข้าพิธีแต่งงานอย่างลับๆ แล้ว พระองค์เริ่มเห็นดีเห็นชอบ เมื่อใครต่อใครเริ่มเรียกพระองค์ว่า นางบราวน์ แทน ควีนวิกตอเรีย อีกด้วย
และว่ากันว่า เมื่อนายบราวน์ เสียชีวิตลง พระองค์ทรงโศกเศร้าและทรงพระกันแสงอย่างหนักกว่าเมื่อครั้งที่ พรินซ์อัลเบิร์ต พระสวามีคนแรกสิ้นพระชนม์เสียอีก โดยควีนได้จัดแจงสั่งการให้สร้างรูปปั้นของบราวน์เท่าตัวจริง พร้อมกับกำชับว่าในวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์ ให้ฝังพระองค์ไว้ใกล้กับหลุมศพของนายบราวน์ โดยที่ต้องใส่ปอยผม รูปภาพ และแหวนแทนใจที่บราวน์มอบไว้ให้พระองค์อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ ความรักที่ควีนวิกตอเรียมีต่อหนุ่มรับใช้สามัญชนผู้นี้ ยังเปี่ยมล้นอย่างหาที่เปรียบเทียบไม่ได้ เห็นได้จากภายหลังที่ควีนสิ้นพระชนม์ลง พระธิดาคนสุดท้องของพระองค์ทรงพบไดอะรีส่วนตัว ซึ่งพระธิดาเปิดเผยว่า พระองค์จำเป็นต้องนำไดอะรีดังกล่าวไปเผาทิ้งไม่ให้เหลือซาก เหตุเพราะเนื้อหาในไดอะรีนั้น เต็มไปด้วยสัมพันธ์สวาทสุดเร่าร้อนของทั้งบราวน์และควีน ที่ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดเห็นภาพเลยทีเดียว
ปิดท้ายความฉาวแห่งราชวงศ์ผู้ดี ด้วยที่สุดแห่งวีรกรรมของดยุกออฟเคนท์หรือเจ้าชายจอร์จพระราชปิตุลาของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ที่สื่อหลายสำนักวิเคราะห์พฤติกรรมจนได้ข้อสรุปว่า เจ้าชายจอร์จ น่าจะเป็นนักรักแบบไบเซ็กชวล หรือผู้ที่มีรสนิยมรักใคร่ทั้งสองเพศ หรืออาจเรียกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มผมบลอนด์ตัวเล็กกะทัดรัดไปจนถึงสาวผิวสีร่างกายกำยำ พระองค์เซย์เยสทุกราย
เหตุเพราะรู้พระองค์ดีว่า เป็นรัชทายาทลำดับ 5 ของราชวงศ์ ซึ่งหมายถึงโอกาสขึ้นครองราชย์น้อยมาก เหมือนกับกรณีของเจ้าชายแฮร์รี ดังนั้นเจ้าชายจอร์จ จึงเดินหน้าใช้ชีวิตเสเพลแบบสุดเหวี่ยง ไม่แคร์สายตาผู้ใด คือนอกจากพระองค์จะบรรเลงกิจกรรมบนเตียงแบบไม่เลือกหน้าอย่างเป็นกิจวัตรแล้ว พระองค์ยังทรงอยู่ในอาการมึนเมาจากการทรงเสวยเครื่องดื่มมึนเมาและทรงเสพยาเสพติดชนิดรุนแรง ทั้งมอร์ฟีน โคเคนอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
การใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายเต็มไปด้วยความเสี่ยงเช่นนี้ ทำให้ในที่สุดเจ้าชายจอร์จ ต้องเผชิญจุดจบที่ย่ำแย่ไม่แพ้กัน โดยในที่สุดพระองค์เสด็จสวรรคต ภายหลังจากที่เครื่องบินส่วนพระองค์ พุ่งชนเข้ากับภูเขาอย่างจัง ขณะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัว
ข่าวการเสด็จสวรรคตดังกล่าว จุดกระแสสงสัยเป็นวงกว้างว่า สาเหตุการเสด็จสวรรคตขณะที่มีพระชันษาเพียง 39 ชันษานั้น แท้จริงแล้วเกิดจากความเลินเล่อของนักบิน ซึ่งคาดว่าอาจอยู่ในอาการมึนเมาระหว่างปฏิบัติหน้าที่ หรืออาจเป็นเพราะการปิดบัญชีของสำนักพระราชวังอังกฤษที่เหลืออดกับการมาตามเช็ดก้นของเจ้าชายจอร์จ ที่สร้างความเสื่อมเสียแก่ราชวงศ์อันเก่าแก่ก็เป็นได้