ศาลอาญาอ่านคำสั่งถอนประกันแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) 19 คน ในคดีก่อการร้าย ประกอบด้วย
- นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ จำเลยที่ 1
- นายจตุพร พรหมพันธุ์ จำเลยที่ 2
- นายขวัญชัย สาราคำ จำเลยที่ 6
- นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก จำเลยที่ 7
- นายนิสิต สินธุไพร จำเลยที่ 8
- นายภูมิกิติ สุขจินดาทอง จำเลยที่ 11
- นายสุขเสก หรือสุข พลตื้อ จำเลยที่ 12
- นายจรัญ หรือยักษ์ ลอยพูล จำเลยที่ 13
- นายอำนาจ อินทโชติ จำเลยที่ 14
- นายชยุต ใหลเจริญ จำเลยที่ 15
- นายสมบัติ หรือแดง มากทอง จำเลยที่ 16
- นายสุรชัยหรือหรั่ง เทวรัตน์ จำเลยที่ 17
- นายรชต หรือกบ วงค์ยอด จำเลยที่ 18
- นายยงยุทธ ท้วมมี จำเลยที่ 19
- นายอร่าม แสงอรุณ จำเลยที่ 20
- นายเจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ จำเลยที่ 21
- นายสมพงษ์ หรืออ้อ บางชม จำเลยที่ 22
- นายมานพ หรือเป็ด ชาญช่างทอง จำเลยที่ 23 และ
- นายอริสมันต์ หรือกี้ร์ พงศ์เรืองรอง จำเลยที่ 24
หลังสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นให้ถอดถอน มีสาระสำคัญดังนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเบื้องต้นว่าสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ และนายนิพิฏฐ์ มีอำนาจยื่นคำร้องและหนังสือขอเพิกถอนปล่อยชั่วคราวจำเลยหรือไม่ และศาลอาญามีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยหรือไม่
เห็นว่าคดีนี้ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทุกคนระหว่างการพิจารณา และศาลกำหนดเงื่อนไขให้จำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24 ต้องปฏิบัติในระหว่างที่ได้รับอนุญาตปล่อยชั่วคราวตาม ป.วิอาญา มาตรา 122 วรรคสอง เพื่อไม่ให้จำเลยไปก่อให้เกิดภัยอันตรายหรือความเสียหายใดๆ หลังจากที่ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวอันมีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครองคู่ ความกับผู้มีส่วนได้เสียในคดี และประชาชนทั่วไปให้ปลอดภัยจากอันตรายและความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการฝ่าฝืนเงื่อนไขของจำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24
ดังนั้นจำเลยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านั้นอย่างเคร่งครัด และศาลต้องควบคุมตรวจสอบตลอดเวลาว่าจำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24 ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือไม่เพียงใด หากมีปัญหาว่าจำเลยได้ฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวหรือไม่เพียงใด และมีเหตุให้ศาลเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวของจำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24 หรือไม่ คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดีย่อมมีอำนาจยกปัญหาขึ้นให้ศาลพิจารณา วินิจฉัยได้ และหากปัญหาดังกล่าวได้ปรากฏต่อสาธารณชนได้รับทราบทั่วไปและศาลได้รับทราบ เช่นกันแต่ไม่มีคู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดีนั้นยกปัญหานั้นให้ศาล พิจารณา
ศาลในฐานะผู้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24 ย่อมมีอำนาจยกปัญหาขึ้นพิจารณาวินิจฉัยได้เอง
นอกจากนี้ หากมีบุคคลใดที่มิใช่คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดีได้ทราบพฤติการณ์ใดๆ ของจำเลยที่เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวที่ศาลได้กำหนดขึ้น และเป็นเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นเพื่อคุ้มครองประชาชนโดยทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นใน ภายหลังจากการฝ่าฝืนของจำเลย บุคคลเหล่านั้นย่อมมีอำนาจยกปัญหานั้นขึ้นให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยได้เช่นกัน
ในทำนองเดียวกับบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายก็มีอำนาจทำคำกล่าวโทษในคดีอาญา แผ่นดินว่ามีการกระทำความผิดอาญาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ได้ ก็ปรากฏว่าคดีนี้เป็นคดีอาญาแผ่นดินและเงื่อนไขในการปล่อยชั่วคราวที่ศาลได้ กำหนดขึ้นให้จำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24 ต้องปฏิบัติตาม ก็เป็นเงื่อนไขที่ศาลกำหนดขึ้นเพื่อคุ้มครองประชาชนโดยทั่วไป ตลอดจนสังคมโดยรวมให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายและความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นในภายหลังจากการฝ่าฝืนเงื่อนไขของจำเลย
ดังนั้น บุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้ย่อมมีอำนาจยกปัญหา ว่าจำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24 ได้ปฏิบัติฝ่าฝืนเงื่อนไขที่ศาลกำหนดขึ้นเพียงใดและมีเหตุให้ศาลเพิกถอนการ ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24 ขึ้นให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยได้
จากที่วินิจฉัยมาแม้สำนักงานศาลรัฐ ธรรมนูญและนายนิพิฏฐ์จะไม่ใช่คู่ความหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในคดีนี้ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจยื่นคำร้องและหนังสือขอให้เพิกถอนการปล่อย ชั่วคราวจำเลยที่ 2 และนายนิพิฏฐ์มีอำนาจยื่นคำร้องและหนังสือขอให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราว จำเลยที่ 7 ได้ ตลอดจนศาลมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24 ได้
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่ามีเหตุสมควรที่จะเพิก ถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1, 6, 7, 8 และ 12-24 หรือไม่ เห็นว่าจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในชั้นนี้กับข้อเท็จจริงตามที่ศาลได้สอบถาม จำเลยที่ 1, 6, 7, 8 และ 12-24 แม้จะได้ความว่าจำเลยได้กล่าวปราศรัยต่อประชาชนอยู่บ้าง แต่ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่แสดงว่าจำเลยที่ 1, 6, 8, 12-24 กระทำการใดๆ อันเป็นการผิดเงื่อนไขตามที่ศาลได้กำหนดในการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวและยัง ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำการใดๆ อันถือว่าก่อให้เกิดอันตรายหรือภยันตรายประการอื่น จึงยังไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1, 6, 7, 8 และ 12-24
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่ามีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลย ที่ 2 นายจตุพร หรือไม่ เมื่อพิเคราะห์คำร้องและหนังสือการขอให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ประกอบคำแถลงของนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ กับคำแถลงของจำเลยที่ 2 แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ขึ้นปราศรัยที่เวทีที่หน้ารัฐสภา เห็นว่าคำกล่าวปราศรัยของจำเลยที่ 2 มีลักษณะเสียดสี ประชดประชัน และตำหนิการทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังปราศรัยด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ แต่ไม่มีคำพูดใดของจำเลยที่ 2 ที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม กระทบต่อเกียรติยศและชื่อเสียงของบุคคลอื่นโดยตรง และไม่มีคำพูดใดที่ก่อให้เกิดการคุกคามและการกดดันต่อการทำหน้าที่ของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงยังพอถือได้ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์และติชมการทำงานของตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญ แม้ถ้อยคำที่จำเลยที่ 2 กล่าวจะรุนแรงไปบ้าง แต่ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดอันตรายกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำการใดๆ อันก่อให้เกิดอันตรายประการอื่นที่จะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 จึงยังไม่มีเหตุอันสมควรที่จะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ให้ยกคำร้อง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่ามีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวนายยศวริศ จำเลยที่ 7 หรือไม่ เมื่อพิเคราะห์คำร้องและหนังสือขอให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 7 ประกอบคำแถลงของนายนิพิฏฐ์ ผู้ร้องและคำแถลงของจำเลยที่ 7 แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2555 จำเลยที่ 7 ได้ปราศรัยเวทีหน้ารัฐสภาในขณะที่มีแนวร่วม นปช.ร่วมฟังอยู่เป็นจำนวนมาก โดยวิพากษ์วิจารณ์และติชมการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่าในประเด็นดังกล่าวจำเลยที่ 7 ไม่ได้ปฏิเสธว่าบุคคลที่อยู่ในแผ่นวีซีดีตามหลักฐานไม่ใช่ตัวจำเลยที่ 7 และเสียงที่พูดนั้นไม่ใช่เสียงของจำเลยที่ 7 เอง
ขณะที่จำเลยที่ 7 แถลงต่อศาลยอมรับว่าได้อ่านข้อมูลส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและครอบ ครัวขณะกล่าวปราศรัยบนเวทีจริง เพียงแต่จำเลยที่ 7 เห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนุกสนานชวนให้ผู้ฟังรู้สึกตลกขบขัน อันเป็นลักษณะนิสัยของจำเลยที่ 7
เมื่อพิจารณาถ้อยคำการกล่าวปราศรัย ของจำเลยที่ 7 ประกอบกับน้ำเสียงและการแสดงสีหน้าท่าทางของจำเลยที่ 7 แล้ว ส่อให้เห็นถึงเจตนาที่จะยุยง ปลุกปั่น ให้ผู้ฟังรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่จำเลยที่ 7 จะนำข้อมูลส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและครอบครัวมาเปิดเผยในเวลาต่อ เนื่องกัน จำเลยที่ 7 ยังกล่าวถ้อยคำตอนหนึ่งทำนองว่า ? ให้แวะเวียนไปเยี่ยม เอาดอกไม้ไปเยี่ยม โทรศัพท์ไปคุยและให้ไปจัดการ ? เป็นการพูดที่อาจทำให้ผู้ฟังที่กำลังอยู่ในอารมณ์ที่เกลียดชังตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญ เข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 7 ประสงค์จะให้ก่อความวุ่นวาย สร้างความเดือดร้อนรำคาญ หรือกระทำการอันตรายต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและครอบครัว ถือได้ว่าเป็นการคุกคามกดดันแก่บุคคลที่ถูกกล่าวอ้าง
อีกทั้งเป็นการกดดันการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งการนำข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่นมาเปิดเผยโดยไม่มีเหตุจำเป็นก็ไม่ใช่ วิสัยปกติของบุคคลทั่วไป การกระทำของจำเลยที่ 7 ได้แสดงออกถึงเจตนาร้ายของจำเลยที่ 7 ที่ต้องการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมืองเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และเป็นการไม่นำพาต่อเงื่อนไขที่ศาลมีคำสั่งไว้
แม้ภายหลัง จำเลยที่ 7 จะกล่าวขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่อาจทำให้การกระทำที่ได้ทำลงไป แล้วกลับคืนมาได้ ถือว่าจำเลยที่ 7 กระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวที่ศาลกำหนดไว้แล้วว่าไม่ให้กระทำการใดอัน ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้นหรือต้องให้ผู้ที่ถูกพาดพิงไปแจ้งความดำเนินคดีกับจำเลยที่ 7 เสียก่อน
เมื่อพิจารณาประกอบถ้อยคำจำเลยที่ 7 ซึ่งอ้างว่าเมื่อระลึกได้ในภายหลังว่าไม่เหมาะสมแล้วจึงกล่าวขอโทษ กับการที่จำเลยที่ 7 เห็นว่าสิ่งที่พูดไปนั้นเป็นเรื่องของความตลกขบขัน แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 7 ไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจในการใคร่ครวญว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควร ดังนั้นจึงยังไม่แน่ว่าหากศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 7 อีกต่อไปแล้วจะไปก่อเหตุวุ่นวายประการอื่นใดอีก
อีกทั้งคำปราศรัย ถือได้ว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำไปยังสาธารณชนที่ละเมิดหรือกระทบสิทธิของบุคคล ในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลใดโดยตรง และยังถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 7 เป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดมเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน
การกระทำของ จำเลยที่ 7 ถือได้ว่าเป็นการผิดเงื่อนไขที่ศาลกำหนดไว้ และยังถือได้ว่าจำเลยที่ 7 อาจก่อให้เกิดอันตรายประการอื่น จึงมีเหตุสมควรที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 7
แต่ทั้งนี้ในการอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24 ศาลมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวในระยะเวลาที่ต่างกัน เงื่อนไขไม่เหมือนกัน
ดังนั้นจึงเห็นสมควรกำหนดเงื่อนไขอนุญาตการปล่อยชั่วคราวจำเลยดังกล่าวเสียใหม่ โดยให้มีเงื่อนไขเดียวกันว่าห้ามจำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8 และ 12-24 กระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นผู้อื่น หรือยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนในบ้านเมือง หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล