ยิ่งใกล้วันศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องในคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ ในวันที่ 5-6 กรกฎาคมนี้ ทำให้บรรยากาศการเมืองมีความคึกคักขึ้นมาทันที
ทั้ง "ฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้อง" ต่างพาเหรดนำหลักฐานเอกสารและเช็กแถวพยานบุคคล เพื่อนำเข้าชี้แจงด้วยวาจาต่อหน้าองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
โดยในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ จะมีการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาว่าจะให้พยานบุคคลแต่ละฝ่ายเข้าชี้แจงด้วยวาจาต่อหน้าองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ฝ่ายละกี่คน
โดยศาลได้นัดฝ่ายผู้ร้อง "พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม" กับพวกผู้ยื่นคำร้องที่ 1 "วันธงชัย ชำนาญกิจ" ผู้ยื่นคำร้องที่ 2 "วิรัตน์ กัลยาศิริ" ส.ส.ประชาธิปัตย์ ผู้ยื่นคำร้องที่ 3 "วรินทร์ เทียมจรัส" ผู้ยื่นคำร้องที่ 4 และ "บวร ยสินทร" และคณะผู้ร้องที่ 5 ให้นำพยานบุคคลมาทำการไต่สวนต่อศาลในวันที่ 5 กรกฎาคม
ส่วน "ผู้ถูกร้อง" ประกอบด้วย "สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์" ประธานรัฐสภา ผู้ถูกร้องที่ 1 "คณะรัฐมนตรี" ผู้ถูกร้องที่ 2 "พรรคเพื่อไทย" ผู้ถูกร้องที่ 3 "พรรคชาติไทยพัฒนา" ผู้ถูกร้องที่ 4 "สุนัย จุลพงศธร" และคณะผู้ถูกร้องที่ 5 และ "ภราดร ปริศนานันทกุล" และคณะ ผู้ถูกร้องที่ 6 ศาลให้นำพยานบุคคลมาไต่สวนต่อศาลในวันที่ 6 กรกฎาคม
โดยในส่วนของ "พรรคเพื่อไทย" มีทีมกฎหมายพรรค "พีรพันธุ์ พาลุสุข" ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นหัวเรือใหญ่ในการนำทีมแก้ต่าง เท่าที่ตรวจสอบรายชื่อพบว่า "พยานบุคคลผู้ถูกร้อง" ปรากฏชื่อ "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ซึ่งจะเข้าชี้แจง 2 สถานะ คือ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และในฐานะคณะรัฐมนตรี
นอกจากนี้จะมี "คณิน บุญสุวรรณ" อดีต สสร. 40, "อุดมเดช รัตนเสถียร" ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล รวมอยู่ด้วย
ขณะที่ "ฝ่ายผู้ร้อง" ได้เตรียมพยานบุคคลไว้กว่า 10 ปาก เช่น "จรัส สุวรรณมาลา" อาจารย์นิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, "กิตติศักดิ์ ปรกติ" อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ "แก้วสรร อติโพธิ" อดีตคตส., "ฉัตรชัย ภูโคกหวาย", "สุรพล นิติไกรพจน์" อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, "คมสัน โพธิ์คง" อาจารย์ประจำสาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 เพียงแค่บันทึกถ้อยคำพยานของแต่ละฝ่ายที่ส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญรวมกันแล้วหลายพันหน้า !
จึงไม่ต้องแปลกใจที่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะยังไม่เสร็จภายในสัปดาห์นี้อย่างแน่นอน
ดีไม่ดีการพิจารณาไต่สวนคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะยืดเยื้อไปจนถึงเดือนสิงหาคมก็เป็นได้
นั่นหมายถึงการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม และตามระเบียบการประชุมจะเริ่มพิจารณาที่เรื่องด่วนที่ 1 คือ "ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ...." (พรบ.ปรองดอง)
จึงน่าจับตาดูว่าระหว่าง "การนัดไต่สวนคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ" กับ "พรบ.ปรองดอง" เรื่องไหนจะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นให้ถกเถียงก่อนกัน
ถ้าพรรคเพื่อไทยตัดสินใจ "หักดิบ" เดินหน้านำ "พรบ.ปรองดอง" เข้าสภาตามระเบียบการประชุมเชื่อว่าอาจเกิดจุดเปลี่ยนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย
ดูเหมือนเรื่องนี้ "ทักษิณ ชินวัตร" ก็น่าจะเริ่มเห็นเค้าลางเส้นทางการเมืองของพรรคเช่นกัน
เพราะจากคำให้สัมภาษณ์ของ "เกรียงศักดิ์ สร้อยสีงาม" ส.ส.อุดรธานี พรรคพื่อไทย ที่นำคำพูดของ "ทักษิณ" ที่กล่าวกับ "ส.ส.อุดรธานี" ที่เดินทางไปพบที่เมืองดูไบขอให้พรรคเพื่อไทยถอยหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
"พ.ต.ท.ทักษิณ พูดในหลักการว่าหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอย่างไรขอให้ยอมรับและเชื่อว่า คงไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นหลังจากที่ศาลมีคำวินิจฉัยออกมา โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ห่วงว่าคำวินิจฉัยของศาลจะออกมาในแง่ลบ แต่ห่วงว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำให้ไทยได้รับการยอมรับจากสังคมโลก และมีกฎหมายที่เป็นหลักยุติธรรม..."
ส่วนเรื่อง "พรบ.ปรองดอง" เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าหากทุกฝ่ายเห็นว่ายังไม่พร้อมที่จะนำเสนอกฎหมายเข้าสภาก็ไม่ต้องรีบเร่งรีบร้อนหากไม่พร้อมก็ชะลอไปก่อน ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร โดยให้สภาไปหารือว่าจะทำอย่างไร..."
จากคำบอกเล่าของ "เกรียงศักดิ์" หาหเป็นข้อเท็จจริงก็แสดงให้เห็นว่า "ทักษิณ" สั่งถอย เพื่อรักษาชีวิตทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลหากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาในแง่ลบ
เพราะถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ในทางการเมืองย่อมส่งผลถึงคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองด้วย
ดังนั้นคำสั่ง "ถอย" ของ "ทักษิณ" นอกจากรักษาชีวิตทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังเป็นการรักษา "อำนาจ" ของรัฐบาลให้อยู่นานขึ้นอีกด้วย !
