กษิต ภิรมย์: ติดสันดอน เกยตื้น

แนวหน้า 28 มิถุนายน 2555 >>>




พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศ ขอบอกขอบใจลิ่วล้อเสื้อแดงที่ได้กรุณาร่วมแรงร่วมใจ พายเรือฟันฝ่าคลื่นพายุ (แห่งธรรมะ) มาส่งทักษิณขึ้นฝั่ง ทักษิณซาบซึ้งในบุญคุณเป็นมหันต์ แล้วก็บอกว่า บ๊ายบาย อำลา ก่อน สหายรัก แล้วก็ขึ้นฝั่งเพื่อไปไต่เขาสู่ยอดสูงสุดสู่ดวงดาวแห่งอำนาจผูกขาดที่สถิตอยู่ต่อไป ตามที่เป็นข่าว
แต่ตามสภาพความเป็นจริงแล้ว บรรดาเกจิอาจารย์สำนักต่างๆ และวงเสวนาสภากาแฟการเมืองทุกภาคส่วนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันให้แซ่ดกันว่า เรือเมล์แดงก็ยังไม่ไปถึงฝั่งเลย ฉะนั้น ทักษิณก็ยังติดค้างอยู่บนเรืออำนาจสำราญนี้ หนึ่งในผู้รู้ คนหนึ่งก็คือ อาจารย์พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต แห่งสถาบันนิด้า
อาจารย์พิชาย ได้วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ในบทความที่พิมพ์ลงใน ASTV ผู้จัดการรายวัน (ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2555) ซึ่งผมอยากจะขอแนะนำให้คอการเมือง และผู้รักความถูกต้องยุติธรรม ไปหามาอ่านกันได้ เพื่อเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจเกี่ยวกับสถานะและทิศทางทางการเมืองของบ้านเรา และเพื่อจักได้มีกำลังใจ มีพลังต่อสู้ เพื่อปกป้องรักษาสังคมอันดีงามของไทยกันต่อไป ถ้าเพื่อนๆ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและผู้สั่งเสื้อสีแดงจะได้ให้เวลากับตนเองสักนิด เพื่ออ่านบทความของอาจารย์พิชาย ก็คงจะได้นึกคิด ทบทวนและใช้พลังสติปัญญา ทุนทรัพย์ เพื่อร่วมเสริมสร้างความชอบธรรม และความเจริญก้าวหน้าให้แก่บ้านเมือง ก็จะดีกว่า การอยู่กับความโกรธ โลภ หลง
ผมขอสรุปเนื้อหาบทความนี้ของ อาจารย์พิชายว่า เมื่อมีการใช้อำนาจเกินขอบเขต ความชอบธรรมก็หมดไป และทั้งเรื่องร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น จะดึงดันต่อไปก็จะเผชิญกับการคัดค้าน ทั้งในและนอกสภา คือโดยพรรคฝ่ายค้านประชาธิปัตย์และกลุ่มวุฒิสภาในสภา ส่วนนอกสภาก็โดยพลังประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่มีกลุ่มฝ่ายพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย เป็นแกนนำ
นอกจากนั้น เรื่องร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ ก็ยังต้องผ่านขั้นตอนการตีความโดยศาลรัฐธรรมนูญว่า ผิดหรือละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ อย่างไร และทั้งหมดก็จะต้องมีการนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อการทรงลงพระปรมาภิไธย ตาม ม.150 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือหากไม่ทรงเห็นชอบด้วยก็จะ.....และพอคืนมาตาม ม.151 ซึ่งฝ่ายรัฐสภา ฝ่ายรัฐบาลมีเสียงข้างมากจะต้องมีมติ
ยืนยันด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 และมีการนำขึ้นทูลเกล้าฯ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากมิได้ทรงลงพระปรมาภิไธย และพระราชทานคืนมา นายกรัฐมนตรีก็สามารถประกาศใช้ได้เลย แต่ก็สร้างปัญหาความชอบธรรม และโอกาสความขัดแย้งทางการเมืองก็จะทวีขึ้น
อาจารย์พิชายทิ้งท้ายว่า ฝ่ายแกนนำพรรครัฐบาลเพื่อไทย และเสื้อแดงอาจจะไม่ยอมรับอำนาจศาลก็ได้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.191 ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็จะนำไปสู่การล่มสลายของกฎหมาย และการสิ้นสุดของหนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และแกนนำเสื้อแดง
ผมต้องขอบพระคุณอาจารย์พิชาย ที่ช่วยอธิบายให้รับทราบ และเตือนสติฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลและเสื้อแดง ถึงความหายนะ ที่จะมาสู่สังคมไทยและตนเอง
ผมมองว่า เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ และลิ่วล้อ ตอนนี้เกยตื้น ติดสันดอน เสียแล้ว สังคมนี้ประกอบด้วย ฝีปาก ฝีไม้ลายมือ และสติปัญญาของพรรคประชาธิปัตย์ และของกลุ่มวุฒิสมาชิก ที่ไม่ขึ้นต่อทักษิณ ในสภา และกลุ่มปวงชนชาวไทย และนักเคลื่อนไหว นักวิชาการที่เห็นความไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรมของร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งในแง่เจตนา และเนื้อหาและความซื่อสัตย์ เที่ยงตรง และขึ้นตรงต่อภาระหน้าที่ของฝ่ายตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อเรือติดสันดอน อารมณ์โกรธแค้นก็เกิดขึ้น อารมณ์ของสัตว์ภายในตัวมนุษย์ของมนุษย์ก็เกิดขึ้น ที่จะคุกคาม ข่มขู่ หยาบคาย รุนแรงกับพวกที่ไม่คล้อยตาม ไม่โอนอ่อน ไม่ยอมสยบให้กับฝ่ายตน
ในสถานการณ์นี้แล้ว เจ้าของเรือจะว่าอย่างไรก็พยายามจะยื่นมือมาจับกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ โดยการส่งผู้คนมาทาบทาม เสนอตำแหน่ง อำนาจให้กับขุนพลสุเทพ แห่งพรรคประชาธิปัตย์แต่ก็ถูกปฏิเสธ แล้วก็ถูกเปิดเผยออกมา ก่อให้เกิดความขายหน้า เสียหน้า ให้แก่ตนเองคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าหมดหนทาง หมดท่าหมดลูกเล่นแล้วหรือ และเมื่อความจริงเป็นเช่นนั้น ก็ยิ่งสร้างความโกรธเคือง น้อยเนื้อต่ำใจ ผิดหวังให้กับพลพรรคกันทั่วหน้า ว่าเมื่อไม่นานก็ถูกถีบหัวเรือขึ้นฝั่งไปแต่ผู้เดียวแล้วยังมาแอบจะไปจับมือกับยอดคู่อริอีกด้วย ทำเสมือนว่าไร้ความหมาย ไร้ประโยชน์ หมดท่าแล้ว เจ็บหนึ่งไม่พอ ต้องมาเจ็บซ้ำสองอีกด้วยแบบทันทีทันควัน และแล้วในเรือสำราญแดงนั้นก็เกิดการกล่าวหา กล่าวโทษ โจมตี ด่าทอซึ่งกันและกันเอง ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจก็เกิดขึ้น แล้วก็ต้องออกมาเสแสร้ง โกหกพกลมว่ายังรักกันดีอยู่
ในวงการทูต ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวเจนเวที มักอบรมบ่มเพาะนักการทูตแรกเข้าว่า ในเชิงการทูตนั้นเวลาฝ่ายเขามีปัญหาเขามาหาเรา เวลาฝ่ายเรามีปัญหาเราไปหาเขา
การที่ทักษิณส่งคนมาหาสุเทพ มีข้อเสนอต่างๆ แถมชวนไปพบปะ หารือกันโดยตรงนี้แสดงว่า ทักษิณแย่แล้ว มีปัญหาต้องมาหาสุเทพ หมดหนทางอื่นๆ แล้ว เช่น ไปฮั้วกับฮุนเซ็น เพื่อเล่นงานรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทั้งไปจ้างบริษัทฝรั่ง ไปเป่าหู บิดเบือนข้อมูล ข้อเท็จจริงให้ต่างประเทศฟัง ทั้งใช้สื่อเชียร์พลังแดง ใช้คุกคาม ข่มขู่ แถมเผาบ้านเผาเมืองอีกด้วย บวกด้วยประชานิยมจนชนะเลือกตั้ง แต่ก็ยังกลับบ้านแบบเท่ๆ ไม่ได้ หนทางก็ดูริบรี่ขึ้นเต็มทน
ซื้อใจ ซื้อตัวสุเทพไม่ได้ จะดึงดันเรื่องร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และร่างรัฐธรรมนูญต่อไป ก็เรียกลูกค้าเพิ่มขึ้นแน่ๆ แรงต่อต้านก็จะมากยิ่งๆ ขึ้น พลังเพื่อไทยและมวลชนเสื้อแดงดูจะเริ่มลดน้อยลง เพราะกลัวการพากันเข้ารกเข้าพงสู่คุกสู่ตาราง และมวลชนแดงก็เริ่มมีความรู้สึกว่าถูกหลอกใช้ ไม่เห็นหัวพวกตน กลับจะสั่งลุยเต็มที่ก็ชักไม่กล้า ซึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะได้กำลังแท้จริงแค่ไหนอีกทั้งพลังต่อต้านก็มากขึ้นทุกวัน สื่อก็คุมไม่ได้ เพราะไอ้ facebook ของ Mark Zuckerberg นี้ด้วย แถมพรรคประชาธิปัตย์เอาปัญญา เอาพลังมาจากไหนถึงมี Blue Sky, TVD และ T News มาช่วยเป็นแหล่งข้อมูลให้กับประชาชน และแถมยังออกมาจัดเวทีการเมืองต่างๆ อีกด้วย และที่สำคัญยังเข้าค่ายทหารไม่ได้เลย ก็ไม่รู้ว่าจะส่งน้องสาวไปคนเดียวจะไหวไหม
ผมก็ขอวิพากษ์วิจารณ์และแนะนำคุณทักษิณ ในฐานะที่เคยรู้จัก และเคยมีความเคารพนับถือต่อกันมา ดังนี้
1. การกลับแบบเท่ โดยไม่กลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมคงเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ไม่มีทางทนแรงต้านทานมากมาย ไม่ลดละ ไม่หยุดยั้ง
2. พึ่งมวลชนแดงไม่ได้ เพราะเขาหลอกเอาเงินไปใช้ เพื่อขยายฐานและเพื่อล้มอำมาตย์เก่า ใหม่ ซึ่งรวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย (จากอำมาตย์บ้านนอก มาสู่เมืองหลวง และไปสู่อินเตอร์) และมวลชนแดงไม่ได้มีมากอย่างที่คิด และเขาเริ่มมีความแคลงใจต่อพฤติกรรมของคุณทักษิณ ฉะนั้น จะให้เขาไปลุยไปตายแทนก็คงจะลำบาก ที่จะมากกว่า คือ ที่เคยเป็นแดง และบัดนี้ รักชาติ อยากเห็นสังคม อยากเห็นการเบ่งบานของประชาธิปไตยแบบสากลนั้น ซึ่งเดิมใช้ชื่อว่า กองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บัดนี้มีชื่อใหม่ว่า กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
3. เมื่อกลับแบบเท่ไม่ได้ เมื่อใช้กำลังแตกหักไม่ได้ คุณทักษิณก็ต้องตัดสินใจตั้งรกรากถาวรที่ดูไบ ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่
4. ทำบุญ ทำประโยชน์ ให้กับมวลมนุษย์โดยการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อการกุศล
5. การตัดสินใจดังกล่าว เป็นการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ หลังจากที่ได้ทำให้บ้านเมืองวอดวาย ยุ่งเหยิง มานานปีแล้ว เมื่อตัดใจได้ คุณทักษิณก็จะเริ่มพบกับความสงบสุข และความปิติ ชีวิตที่เหลือก็เป็นเรื่องการสร้างกรรมดีเท่านั้น