"ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ส่งสัญญาณวันเสียงแตก "ผมเชื่อใจนายกฯไม่ตระบัดสัตย์"

มติชน 18 มิถุนายน 2555 >>>




"การแก้ไขรัฐธรรมนูญ" เป็นนโยบายหลักที่เรียกคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทยในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2553
ในปี 2555 กรณีดังกล่าวกลายเป็น "เงื่อนปม" สำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล กับกลุ่มผู้สนับสนุนซึ่งก็คือกลุ่มคนเสื้อแดง
ที่ไม่พอใจต่อทีท่าการเลื่อนญัตติร้อนออกไปพิจารณาออกไปในการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ที่จะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม และแม้กระทั่งความล้มเหลวในการลงมติเพื่อปฏิเสธว่าคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีผลผูกพันกับรัฐสภา
ทำให้คนเสื้อแดงในระดับ "แกนนำ" ตั้งคำถามดังๆ ไปยังรัฐบาลภายใต้การนำของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีถึงความจริงใจในการผลักดันสิ่งที่ได้สัญญาเอาไว้
"ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ในฐานะที่เป็นทั้งคนในรัฐบาลและคนของมวลชนเสื้อแดง เปิดใจกับ "มติชน" ถึงห้วงเวลาของการสั่นคลอนความรู้สึกของกลุ่มคนที่เคยถูกเปรียบว่าเป็นเท้าซ้ายและขวาของกันและกัน

ท้ายที่สุดไม่มีการลงมติในร่างแก้ไข รธน. ในวาระ 3 จะมีอะไรเกิดขึ้น

ถ้าไม่โหวตรัฐบาลก็ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐบาล ถือว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ประกาศในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ที่ได้ยืนเคียงข้างประชาชนในสนามการต่อสู้ ฉะนั้น เมื่อรัฐบาลตระบัดสัตย์กับประชาชน ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นกับรัฐบาล แต่อยู่ที่รัฐบาลจะบริหารจัดการสถานการณ์อย่างไร มันจึงกลับมาที่หลักการตั้งต้นว่า เรายังเชื่อมั่นกันอยู่หรือเปล่า เรายังเชื่อใจในกันและกันหรือไม่ ส่วนตัวผม ผมยังเชื่อมั่นในตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผมยังเชื่อใจว่านายกฯจะไม่ตระบัดสัตย์ต่อพี่น้องประชาชน แต่ว่าสิ่งที่น่าเห็นใจคือนายกฯ อยู่ในจุดที่เห็น ได้ยิน หรือสัมผัส ข้อมูลบางสิ่งบางอย่าง ที่ทำให้เธอรู้ว่าสถานการณ์ในวันนี้ รัฐบาลอยู่ในสถานะที่มีอันตรายแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา

ข้อมูลที่นายกฯได้รับมาจากบุคคลระดับใด

คนที่ขึ้นไปอยู่ในสถานะผู้นำประเทศย่อมมีข้อมูลหลากหลาย และย่อมมีกระบวนการในการสังเคราะห์ วิเคราะห์ ข้อมูลที่ชัดเจนพอสมควร สิ่งนี้ทำให้นายกฯจำเป็นที่จะต้องเดินทุกก้าวด้วยความระมัดระวัง

หากแยกคนเสื้อแดงออกจากพรรคเพื่อไทยมวลชนของแต่ละฝ่ายจะเหลือเท่าไหร่

มันไม่เป็นคณิตศาสตร์ แต่ฝ่ายตรงข้ามเขาพยายามชั่งน้ำหนักตลอดเวลา ว่าเขาจะขยับตัวรุก เข้ามายังรัฐบาลได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร แล้วที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าเขารุกมาตลอดเวลา เรามองข้ามมิติทางการเมืองไม่ได้ พรรคไทยรักไทยชนะในเกมนโยบาย ชนะในเกมบริหารมาตลอด แต่สิ่งที่มันคุกคามทุกรัฐบาลของฝ่ายนี้คือปัจจัยทางการเมือง ก็คือแนวรบทางด้านการเมือง จากบทเรียนเหล่านี้เราก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญ ประชาชนก็ต้องเรียนรู้ตลอดเวลาว่าสถานการณ์มันมีพัฒนาการ แล้วเขาไม่ปรารถนาให้รัฐบาลนี้อยู่นานแน่ๆ

รุกถึงตัวนายกฯหรือไม่

ผมว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น ผมว่าเวลานี้น่าจะมีการล็อกเป้าคนสำคัญในรัฐบาลเอาไว้แล้วหลายคน สิ่งที่เกิดขึ้นกับนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์) ผมคงไม่เอามาคิดในมิติทางการเมืองไม่ได้ แล้วเราไม่รู้ว่าจากนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่สำคัญคือฝ่ายยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ฝ่ายยุทธศาสตร์ของประชาชน ควรที่จะมีการพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกัน แล้วกำหนดยุทธศาสตร์อย่างเป็นเอกภาพ เพื่อจะเผชิญกับสถานการณ์ข้างหน้า ที่ผ่านไม่ได้มีการจัดทำเป็นมติหรือรูปแบบข้อตกลงอย่างแน่ชัด มีสถานการณ์เป็นตัวกำหนด ไม่ใช่แต่ละฝ่ายเป็นคนกำหนดสถานการณ์

เกมแก้ รธน. ทำให้พรรคเพื่อไทยเสียแต้มจากมวลชน

อาจจะมีการเสียความรู้สึกจากมวลชนบ้าง แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปผมมองว่าอีกฝ่ายหนึ่งลงทุนมากกว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญแสดงออกอย่างนี้ ถือเป็นการแลกกับการเปิดเผยความต้องการที่แท้จริงของอำนาจนอกระบบ ว่ายังมีความต้องการโค่นล้มรัฐบาลอยู่ แล้วไม่เลือกวิธีการ ไม่แคร์สายตาประชาชน หักลบกลบหนี้แล้วผมคิดว่าเขาลงทุนมากกว่า เพียงแต่เราต้องตั้งขบวนให้ดี ต้องรวมกันให้อยู่

เพื่อไทยไม่ยอมรับอำนาจของฝ่ายตุลาการ

มันไม่ใช่การไม่ยอมรับอำนาจ มันเป็นเรื่องที่ตุลาการทำในสิ่งที่ไม่มีอำนาจ เมื่อทำในสิ่งที่ไม่มีอำนาจจึงยอมรับไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับเอาไว้ ถ้าตุลาการทำในสิ่งที่มีอำนาจ มันไม่มีความชอบธรรมที่ใครจะไปต่อต้าน แต่สิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญทำมันข้ามแดนกฎหมายมาทั้งหมด มาอยู่ในแดนการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ ตรงนี้จึงเกิดการต่อสู้
ผมยกตัวอย่างแบบฟุตบอลเหมือนกัน ฟุตบอลโลกปี 1986 ทีมชาติอาร์เจนตินาแข่งกับทีมชาติอังกฤษ ซึ่งดิเอโก้ มาราโดน่า ของอาร์เจนตินาใช้มือปัดลูกฟุตบอลเข้าประตู คนทั้งโลกเห็น ว่าเป็นการใช้มือปัดลูกฟุตบอลเข้าไป นักเตะอังกฤษประท้วง แต่กรรมการในสนามบอกเป็นลูกได้ประตู สุดท้ายทั้งหมดยอมรับในเกม และแข่งขันต่อไป ซึ่งมาราโดน่าอธิบายภายหลังว่านั่นคือ hand of god (หัตถ์พระเจ้า) สิ่งนั่นเขายอมรับกันได้ เพราะกรรมการทำหน้าที่อยู่ในสนาม เขามีความชอบธรรมในการตัดสินเกม แต่เวลานี้มันกลายเป็นว่าเกมเขาเล่นกันอยู่ในกติกา แล้วมีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งลุยเข้ามาในสนาม แล้วบอกว่าฝ่ายหนึ่งทำฟาวล์ต้องเสียลูกจุดโทษ จะให้คนในสนามยอมรับมันเป็นไปไม่ได้ เพราะคนที่มาชี้จุดโทษไม่ใช่กรรมการ เขายังไม่มีสถานะเป็นกรรมการ

ครั้งนี้ก็อาจมี hand of god เหมือนกัน

ถ้าสิ่งที่อยู่ในสนามของดิเอโก้ มาราโดน่า เรียกว่าหัตถ์พระเจ้า ครั้งนี้ก็เป็นมือของซาตาน เพราะเป็นมือที่ยื่นออกมาจากนอกสนาม เป็นมือที่ยื่นเข้ามาโดยข้ามเส้นกติกาทั้งหมด ทฤษฎีฟุตบอลที่อธิบายกันอยู่จึงเอามาใช้ไม่ได้ ถ้ากรรมการตัดสินอยู่ในสนามผมโอเค แต่นี้มันไม่ได้เป็นกรรมการ ไม่มีอำนาจมาตัดสิน

ถ้าวันนี้พรรคเพื่อไทยกับมวลชนคนเสื้อแดงแยกกันเดินไปสู่เป้าหมายของใครของมันอะไรจะเกิดขึ้น

จะอ่อนแอทั้ง 2 ฝ่าย แล้วจะไม่เป็นผลดีกับขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในระยะยาว เพราะถ้าแยกออกจากกันต่างคนต่างเดิน มันขาดพลัง ขาดยุทธศาสตร์ที่เป็นเอกภาพ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเขาคุยกันตลอดเวลา เฟืองแต่ละตัวหมุนอย่างเป็นจังหวะ แล้วแม่นยำพอที่จะชี้ให้ตัวไหนหมุน ตัวไหนหยุด ตัวไหนเดิน ตัวไหนนิ่ง แต่ฝ่ายประชาชนพัฒนาการการต่อสู้เป็นไปตามสถานการณ์ สิ่งเดียวที่เรามีเหนือกว่าคือจิตวิญญาณที่มั่นคง และความถูกต้องชอบธรรมตามหลักที่ต่างชาติเขายอมรับ

อะไรที่จะทำให้ในที่สุดเพื่อไทยกับมวลชนคนเสื้อแดงจะต้องแยกกันเดิน

ผมว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ทรยศต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย เช่น ถ้าหากวันหนึ่งมวลชนบอกว่าไม่เอาแล้วรัฐบาลชุดนี้ อึดอัดเหลือเกิน ทำอะไรก็ไม่ถูกใจ ก็ไปสนับสนุนให้ใครก็ไม่รู้มาปฏิวัติ ล้มรัฐบาลแล้วว่ากันใหม่ ผมวันนั้นรัฐบาลก็คงปฏิเสธบทบาทของประชาชน ในทางกลับกันถ้าหากรัฐบาลบอกว่าไม่ไหวแล้ว ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์บ่อยเหลือเกิน ทำอะไรก็ไม่ถูกใจ อย่ากระนั้นเลยไปเข้าด้วยกับอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วทำลายกระบวนการนี้เสีย ย่อยสลายซะ ถึงเวลานั้นประชาชนเขาก็ต้องหันมาเผชิญหน้า ส่วนปรากฏการณ์อื่น มันก็แค่เกิดขึ้นระหว่างทาง

คุณทักษิณเคยบอกว่าถูกหลอก วันนี้คนนอกมองว่าคุณทักษิณกำลังหลอกคนเสื้อแดงเหมือนกัน ตกลงแล้วใครหลอกใคร
ผมไม่เชื่อว่าคุณทักษิณจะหลอกคนเสื้อแดง ผมไม่เชื่อว่าถ้าคุณทักษิณต้องการหลอกคนเสื้อแดงท่านจะทำได้ เพราะคนเสื้อแดงไม่ใช่คนของใคร คนเสื้อแดงไม่ได้เดินตามแกนนำอย่างพวกผม เขาไม่ได้เดินตามคุณทักษิณ เขาเดินตามอุดมการณ์ของเขา ใครที่ผิดพลิ้วจากอุดมการณ์ของเขา เขาก็จะทิ้งคนนั้น ก็ฝ่ายตรงข้ามเขาไม่เชื่อไง จึงจ้องจะทำลาย เขายังคิดว่าคนพวกนี้ถูกคุณทักษิณจ้างมา ก็เลยคิดจะทำลายคุณทักษิณเสีย หรือคิดว่าต้องทำให้คุณทักษิณแยกออกจากกระบวนการประชาชน แล้วขบวนการประชาชนจะอ่อนแอลง มันไม่ใช่

สรุปแล้ว พ.ศ. นี้ลิงหลอกเจ้าของ หรือเจ้าของหลอกลิง

สิ่งที่ฟังดูแล้วมันก็น่าตลก ผมว่าทั้งสองฝ่ายกำลังคิดว่าหลอกกันและกันได้ หมายความว่าฝ่ายประชาธิปไตยคิดว่า ต้องมีเทคนิค มียุทธวิธีในการต่อกรกับฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าเราต้องมีกลยุทธ์ในการจัดการกับฝ่ายประชาชน เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายคิดว่าต่างฝ่ายต่างหลอกกันได้ สิ่งที่จะตัดสินคือความจริงของสังคมโลก ว่าสังคมโลกเขายอมรับสภาพการณ์ทางการเมืองแบบใด ตรงนั้นจะเป็นตัวชี้ขาด พรรคเพื่อไทยแพ้หรือเปล่าผมไม่ทราบ รัฐบาลชุดนี้แพ้หรือเปล่าผมไม่ทราบ คุณทักษิณแพ้หรือเปล่าผมไม่ทราบ แต่ผมแน่ใจว่าประชาชนจะไม่แพ้ ฉะนั้นสิ่งที่ควรจะเป็นคือพรรคเพื่อไทย รัฐบาล คุณทักษิณ ต้องเดินไปกับประชาชน แล้วก็ชนะไปด้วยกัน