การเมืองตอนนี้ อยู่ในช่วงชะลอความร้อนแรงลง เพราะตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (19 มิ.ย.) ถึงเวลาที่สภาผู้แทนราษฎรจะปิดตัวลงชั่วคราว เนื่องจาก ครม. ได้ยื่นพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมสภาสมัยสามัญเป็นที่เรียบร้อย เรื่องยุ่งๆ ที่ทำท่าเกือบจะบานปลายมาก่อนหน้า จาก กรณี พ.ร.บ.ปรองดอง 4 ฉบับที่พาเหรดแข่งกันยื่นเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะฉบับเจ้าปัญหา ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ อดีตประธานคณะมนตรีและความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และ เรื่องการลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ชะลอการลงมติไปก่อน จนกว่าศาลจะไต่สวนเสร็จ และจะมีคำวินิจฉัยออกมา ว่าร่างแก้ไข รธน. เป็นร่างที่มีเนื้อหาล้มล้างการปกครองของประเทศหรือไม่ ?
คาดกันว่า ศาลจะมีคำวินิจฉัยออกมาก่อนเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 ส.ค. นี้ เลยทำให้ทุกฝ่ายที่อยู่ในวังวนความขัดแย้ง ได้มีโอกาสพักหายใจหายคอ และคงจะได้คิดหาทางแก้ปัญหากันบ้าง จะมีหนทางใด เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้ แบบ "สันติวิธี" โดยไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง
"เรื่องการลงมติวาระ 3 แก้ร่าง รธน. เชื่อว่าถึงเวลานั้น ก็คงมีความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญที่รับวินิจฉัยแล้วว่าจะออกมาในแนวทางใด ดังนั้นเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา แต่กับร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง 4 ฉบับ คงต้องขึ้นอยู่กับผู้เสนอญัตติ และสภาผู้แทนราษฎรว่า สุดท้ายจะเอาอย่างไร เพราะอยู่ในวาระพิจารณาของสภาฯ แต่สิ่งที่แน่นอนกว่าก็คือ พรรคพรรคประชาธิปัตย์ จะต้องมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอย่างแน่นอน" นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีต 111 กล่าว
หากดูจากการวิเคราะห์ของ นายพงษ์เทพ เห็นได้ชัดว่า ให้น้ำหนักไปที่ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ทั้ง 4 ฉบับ น่าจะเป็นชนวนทำให้การเมืองกลับมาร้อนแรงอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย หลังเปิดสภาฯ ในวันที่ 1 ส.ค. รวมไปถึงเรื่องพรรคฝ่ายค้านอย่าง ปชป. เตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วย แต่กับกรณี การลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไข รธน. นั้น นายพงษ์เทพ ระบุว่า ไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจาก ศาล รธน. คงจะมีคำวินิจฉัยออกมาจนมีความชัดเจน ก่อนวันที่ 1 ส.ค. นี้ ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสภาฯ แน่
เช่นเดียวกับ นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้า ปชป. ที่กล่าวแสดงความคิดเห็น แบบจัดหนัก "ธรรมดาแกนนำ นปช.เหล่านี้ล้วนมีเดิมพันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาล่อใจ คิดว่ามีมูลแน่ อาจจะเป็นการกระทำในเชิงลึก ในที่ลับ และขับเคลื่อนเพื่อผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่นอน
ทั้งนี้เป็นเพราะเขาต้องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในรัฐธรรมนูญมาตรา 309 เพื่อลบล้างความผิด รวมถึงพยายามรวบอำนาจ 3 ฝ่าย ไว้กับตัวเอง เพื่อกินรวบ อีกทั้ง คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยคำนึงถึงผลเสียหาย ดูอย่างปี 52 ที่คนเสื้อแดงพยายามล้มการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่พัทยา จ.ชลบุรี ปี 53 มีการปลุกม็อบ เอาคนกรุงเทพฯ เป็นตัวประกันมาแล้ว จึงคาดการณ์ได้ว่ามีการประชุมสภาสามัญทั่วไปในช่วงเดือนสิงหาคมคาดว่าจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองอย่างแน่นอน
ถึงทั้งคู่จะมาจากต่างพรรค ต่างขั้ว แต่ก็ออกมา ฟันธง ! เหมือนกันว่า ขอให้จับตาดูการเมืองหลังจากสภาผู้แทนราษฎรกลับมาเปิดอีกครั้ง วันที่ 1 ส.ค. นี้ แนวโน้มน่าจะเกิดเหตุวุ่นวาย และร้อนแรงขึ้นแน่ จากกรณี พ.ร.บ.ปรองดอง และ ร่างแก้ รธน. นี่ยังไม่นับ ปชป. เตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาล และการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ที่เชื่อแน่ว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมไม่มากก็น้อยในพรรคเพื่อไทย แต่ทั้งหมดมันเป็นเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ยังพอมีเวลาพิจารณาป้องกันและแก้ไข ผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือท้ายสุดก็อาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้าก็เป็นได้
แต่กับกรณีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ จู่ๆ ก็ออกมา ยืนยัน ว่า "นายใหญ่" แห่งพรรคเพื่อไทย อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงขนาดส่งคนมาล็อบบี้ ทาบทามให้พรรค "พระแม่ธรณีบีบมวยผม" เลิกขัดขวาง พ.ร.บ.ปรองดอง และแก้รัฐธรรมนูญ ถึงขนาดให้ เลือกกระทรวงเพื่อเข้าร่วมรัฐบาล พท.-ปชป. ทั้งเกทับไม่ให้ราคา และเมินโต้ตอบลูกหาบ ที่ดาหน้าออกมาปฏิเสธ ทั้งยังมีการบลัฟกลับ ขอปิดชื่อคนทาบทาม เพราะหากเอ่ยชื่อออกไปไปทุกคนต้องร้อง "อ๋อ"
ไม่นับกรณีทีมกฎหมายพรรค ปชป. ออกมาปูดว่า คนที่ทาบทามนายสุเทพ เป็นคนๆ เดียวกันที่ทาบทาม พล.อ.สนธิ บัญยรัตกลิน (บิ๊กบัง) ด้วยแล้ว
แน่นอนประเด็นนี้ น่าจะทำให้การเมืองที่ลดความร้อนแรงลงไปหลังปิดสมัยประชุมสภาฯ กลับมาร้อนแรงและสร้างสีสันได้ไม่มากก็น้อย ทั้งๆ ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมีข้อมูลยืนยันได้ว่า ที่นายสุเทพ กล่าวไปบนเวทีปราศรัยเป็นความจริงหรือไม่ ?
แต่ถ้าถึงขนาด จะให้ฟันธง ! ว่าทั้งหมดเป็นการโกหกแบบ 100% ของนายสุเทพ เพื่อหวังผลทางการเมือง เนื่องจากในช่วงนี้ กระแสรัฐบาลเตรียมปรับเปลี่ยน ครม. แรงมาก มันก็คงไม่น่าจะใช่ซะทีเดียว เพราะใครๆ ก็รู้ว่า นายสุเทพเอง คนส่วนใหญ่ทั้งในและนอก พรรค ปชป. ต่างก็ยอมรับว่า เป็นผู้ใหญ่ มีทั้งอำนาจ และเป็นผู้มีบารมีในพรรค ปชป. ตัวจริง เสียงจริง คนหนึ่ง ทั้งยังเคยมีตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรค การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะพยายามติดต่อก็คงไม่แปลกนัก เพราะความจริงแล้วทั้งคู่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน ยิ่งตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็แสดงเจตนารมณ์ อย่างชัดแจ้งแล้วว่า ต้องการที่จะกลับประเทศไทย และได้ทรัพย์สินที่ถูกยึดไปคืน ผ่านช่องทางนิติบัญญัติ ทาง พ.ร.บ.ปรองดอง และ ร่างแก้ไข รธน. หากสามารถกระทำได้
ยิ่งล่าสุดที่ "นายใหญ่" ไปให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ญี่ปุ่นว่า พร้อมจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทยด้วยแล้ว ก็เหมือนเป็นการตอกย้ำ ว่า ตอนนี้เจ้าตัวมีความมั่นใจมากขึ้น ว่าจะสามารถเดินทางกลับประเทศได้ ทั้งยังต้องเป็นการเดินทางกลับแบบเท่ๆ อย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยระบุไว้อีกด้วย
เมื่อดูรูปการณ์ทั้งหมดแล้ว ทำให้เหมือนเป็นการเพิ่มน้ำหนักคำพูด ของนายสุเทพ จนน่าเชื่อว่าอาจมีการติดต่อกันจริงตามที่กล่าวอ้างก็เป็นได้ เข้าตำราโบราณ "ไม่มีไฟ ก็ย่อมไม่มีควัน" หรืออีกด้านหนึ่งคือ ไม่มีการติดต่อทาบทามจริง แต่เป็นการปล่อยข่าวของนายสุเทพเองล้วนๆ เพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง อย่างที่พลพรรคเพื่อไทย ที่ดาหน้าออกมาพูด
คนที่จะไขข้อข้องใจและตอบคำถามนี้ต่อสังคมได้ดี และเหมาะสมที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเจ้าตัว ที่เป็นคนออกมาผูกปมนี้เอง ดังนั้นก็ต้องเป็นคนแก้ ข้อสงสัยนี้ต่อสังคมด้วยว่า คนที่มาทาบทามคนนั้นคือใครกันแน่ ที่ถึงกับมีการระบุออกมาว่า "ถ้าทราบชื่อต้องร้องอ๋อ"
แน่นอนหาก ตอบไม่ได้ หรือ ไม่อยากตอบ ก็ระวัง กระแสอาจตีกลับ เพราะอีกฝ่าย อย่างพรรคเพื่อไทย คงไม่ยอมปล่อยไว้เฉยๆแน่ต้องนำไปขยายผลทางการเมือง เพื่อลดความน่าเชื่อถือของพรรค ปชป. ซึ่งหากยังปล่อยให้ พท. ทำได้อย่างที่คิดจริง ปชป. คงต้องเสียรังวัดอีกครั้ง เหมือนกับเหตุวุ่นวาย แย่งเก้าอี้ประธานสภาฯก่อนหน้า แล้วจะหาว่า ไม่เตือน...