สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์: สรุปบทเรียน 'ปรองเดือด'

ข่าวสด 18 มิถุนายน 2555 >>>




ถ้าผมขี้ขลาดจริงต้องให้มีการลงมติวาระ 3 แล้วสิ เผือกร้อนจะได้หลุดจากมือผมไปสักที
เหตุการณ์ปรองเดือดในสภาที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์ บุกขึ้นไปบนบัลลังก์ประธานสภา ทั้งลากเก้าอี้ ฉุดกระชากแขน และขว้างปาเอกสารใส่ ยังคงติดอยู่ในใจ ขุนค้อน-นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา
ผสมโรงกับประเด็นร้อน ทั้งคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ชะลอการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 และร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง ที่ไม่ว่าตัดสินอย่างไรก็เป็นเป้าโดนถล่มจากการเมือง 2 ขั้ว จนเป็นเหตุให้ประธานขุนค้อนต้องเอ่ยปาก ขอเวลาไปทำจิตใจให้ว่าง
วันนี้เมื่อทุกประเด็นร้อนได้รับการคลี่คลาย ญัตติร้อนทั้งหมดถูกเลื่อน ออกไป นายสมศักดิ์จึงเปิดใจถึงเหตุการณ์ ปรองเดือดที่ผ่านมาไว้ดังนี้

มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร

คน 10 กว่าปีก่อนไม่มีสี ทุกคนมีใจเป็นกลาง ผมก็ทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรทุกวันนี้ เหมือนในปี 2540 แต่ทำไมครั้งนั้นไม่มีเสียงตำหนิผมบ้างเลย
มาคราวนี้ก็ยังทำหน้าที่เหมือนเดิม แต่กลับมีทั้งเสียงที่ชอบและไม่ชอบ เป็นเพราะการเมืองทุกวันนี้ไม่ปกติ เลยเกิดเหตุการณ์กันอย่างที่เห็น ซึ่งต้องทำใจ แต่การที่เรายังจิตนิ่งได้ไม่แสดงอาการตอบโต้ เพราะผมฝึกจิตมาเป็นอย่างดี
ไม่มีใครรู้ว่าผมเคยออกบวชในช่วงหลังเหตุการณ์ปฏิวัติปี 2549 ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม จ.พิษณุโลก ครั้งนั้นมีโอกาสฝึกนั่งสมาธิ วิปัสสนามามากพอสมควร มิฉะนั้น ถ้าเป็นใครก็ตามที่อยู่ดีๆ เหมือนถูกตบหัว อารมณ์ก็คงพุ่งปรี๊ดไปก่อนแล้ว

อารมณ์ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร

ตั้งแต่การแสดงสัญลักษณ์นาซีในสภาที่เป็นประชาธิปไตย ผมก็คิดว่าไม่เหมาะสมแล้ว
กรณีหาว่าผมทำหน้าที่แบบเผด็จการก็คงไม่ใช่ ทุกอย่างที่ผมทำมีเหตุผลเสมอ ไม่ใช่คิดอยากทำอะไรก็ทำ เรารู้ว่าเราทำอะไรและก็เชื่อมั่นในตัวเราว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ผมฟังคำพูดว่า ประธานทำหน้าที่ไม่เป็นกลางมาเป็นร้อยๆ ครั้งแล้ว ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีการถกเถียงกันบ้าง ผมจึงพูดตลอดว่า ขอกันกินยังมากกว่านี้
ดังนั้น เรื่องนี้แค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เพราะในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติคงไม่เอาเกียรติศักดิ์ศรีของสถาบันไปเอาเปรียบกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เด็ดขาด และเราก็รู้ตัวว่ามีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่ทำแบบนั้น
และก็มั่นใจด้วยว่าทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง ไม่ได้เป็นแบบที่เขาพูด จึงไม่ต้องสะทกสะท้านอะไร

ส.ส.ประชาธิปัตย์ ป่วนถึงบัลลังก์

เหตุการณ์ ส.ส. บุกถึงบัลลังก์นี้ก็เช่นกัน ไม่คิดว่าจะได้เจอ และก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้สภาและตัวเองเสื่อมเสียด้วย เพราะเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา
มีเหตุอะไรที่เราต้องไปเสียหายหรือด่างพร้อยไปด้วย ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เป็นเรื่องของคนที่มีพฤติกรรมแสดงออกมาให้เห็นต่างหาก ใช้อารมณ์และใช้ความรุนแรงต่อประธานสภา แล้วอย่างนี้ประชาชนจะตัดสินใจไม่ได้เลยหรือ
หรือจะบอกว่าอารมณ์ในสภาที่เกิดขึ้นอาจเริ่มต้นมาจากข้อบังคับที่ว่า ? การวินิจฉัยของประธานเป็นที่สิ้นสุด ? ถ้าอย่างนั้นจะเขียนมาให้ผมในฐานะประธานสภาไว้บังคับใช้กันทำไม
ต่อให้กรรมการให้ใบแดงผิดจริงๆ อย่างไรแล้วบุคคลนั้น ต้องออกจากสนามก่อน ส่วนความผิดของกรรมการก็มาพิจารณากันทีหลัง
ดังนั้น ถ้าเห็นว่าประธานผิดก็มาชี้แจงแถลงข่าวภายหลังได้ ไม่ใช่มากล่าวหากันลอยๆ และเถียงกันจนวุ่นวายว่าประธานทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง
หรือจริงๆ แล้วสมาชิกมีเจตนาหาเรื่องกันแน่ ซึ่งไม่เคยมีบอลที่ไหนหรอกพาพวกมาวุ่นวายกลางสนามแบบนี้

ได้รับบทเรียนอะไรบ้าง

บทเรียนนี้ สำหรับผมไม่ว่าจะไปไหนก็มีแต่คนให้กำลังใจ ตรงกันข้าม เชื่อว่าคนที่กระทำผิดก็ถูกสังคมตัดสินแน่นอนว่า สิ่งใดควรหรือไม่ควร ซึ่งคนที่กระทำก็น่าจะทราบดี
และหวังว่าเขาคงจะไม่เป็นแบบนี้อีกเหมือนกัน

ยอมถอย 2 ประเด็นร้อนในสมัยประชุมนี้

จริงๆ แล้วผมยืนยันและทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายมาโดยตลอดว่า ไม่อยากให้มีการผลักดันลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ยกเว้น ส.ส. เพราะผมได้เข้าร่วมประชุมพรรคเพื่อไทยด้วย
แต่กระแสจากพรรค กรรมการยุทธศาสตร์พรรค บ้าน 111 คนเสื้อแดง กลับต้องการเร่งทั้ง 2 เรื่องนี้ทันที
ผมก็ใช้เวลาไตร่ตรองกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบมากที่สุด พร้อมทำความเข้าใจกับผู้มีอำนาจในพรรคและนายกฯ ซึ่งเห็นด้วยกับการที่ผมตัดสินใจเลื่อนพิจารณาทั้ง 2 ประเด็นนี้ออกไปก่อน
ขณะที่ก็มีกระแสเสียงถามว่า ได้รับคำแนะนำหรือคำสั่ง จากดูไบหรือเปล่า ทั้งที่ข้อเท็จจริงคนที่อยู่ไกลข้อมูลจะเอาอะไรมาสั่ง เรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีแต่ให้เกียรติในการตัดสินใจเพราะเราอยู่ใกล้ข้อมูล
ส่วนผมถ้าจะมีการปรึกษาบ้างจริงๆ ส่วนใหญ่จะหารือผ่านกลุ่มผู้ใหญ่ในพรรค ถ้าเห็นชอบด้วยกับสิ่งที่ผมทำ ก็จบแล้ว

การตัดสินใจแก้ปัญหายึดหลักใด

หลักการที่ผมใช้เสมอคือ ต้องเอาตัวตนของเราออกไปก่อน แล้วจึงจะสามารถทำเพื่อผลประโยชน์แก่ประเทศชาติได้มากที่สุด โดยไม่มีใครจะต้องมาเสียเลือดเนื้ออีก
ขณะเดียวกัน เราก็ใช้ตัวตนของเราที่แท้จริงมาทำความเข้าใจกับพรรค แม้อาจไม่ตอบโจทย์นโยบายพรรคสักเท่าไร แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อยมาตัดสินใจกันจะว่าอย่างไร
ไม่เว้นแม้แต่แนวความคิดที่สวนทางกับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ชะลอการลงมติวาระ 3 ที่ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่ก็พร้อมเคารพด้วยการยอมถอย 1 ก้าวก่อน เพราะการจะสร้างความปรองดองกันได้ ทุกฝ่ายก็ต้องถอยคนละก้าวด้วย
เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญคงมีความคิดไม่ต่างกับผมในการใช้ดุลพินิจที่ควรถอยลงมาก้าวหนึ่งเช่นกัน
และคิดว่าถ้าศาลเลือกได้คงไม่อยากให้คนไทยฆ่ากันเองอีกเหมือนอย่างที่ผมคิด เพราะขณะนี้แค่ความเห็นก็ยังมองต่างมุมกันแล้ว
การใช้ดุลพินิจของศาลที่ดีจึงไม่ควรสร้างความขัดแย้งกับคนในชาติอีก แต่ต้องทำให้คนไทยมีความสุข

ส.ส.เพื่อไทย บางคนรับไม่ได้และออกมาขับไล่

ไม่ใช่ผมยอมถอย เพราะขี้ขลาด เหมือนอย่างที่ ส.ส. ในพรรคเดียวกันกล่าวไว้หรอกนะ ถ้าผมขี้ขลาดจริง ผมต้องให้มีการลงมติวาระ 3 แล้วสิ เผือกร้อนจะได้หลุดจากมือผมไปสักที แต่นี่ ผมกลับอาสาอุ้มเผือกร้อนต่อไป แล้วสิ่งนี้คือความขี้ขลาดหรือเป็นความกล้ากันแน่ ฉะนั้นคนที่มองการเมืองยังไม่ลึกพอ บอกว่าผมขี้ขลาดน่ะ ไม่ใช่แล้ว
แต่เรื่องที่มองต่างมุมจริงๆ คือประเด็นร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยให้มีการปรองดอง จนมีการเสนอขอเข้าสู่ระเบียบวาระ ผมก็เพียงบรรจุวาระให้
เพราะถ้าผมไม่ทำก็จะกลายเป็นคำถามว่าล่าช้า แต่เมื่อผมทำตามขั้นตอนก็มองว่าเร่งรีบนำเข้าสู่สภา ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ถูกมองว่าผิดอยู่ดี
และถึงแม้ผมจะเห็นคัดค้านกับทางพรรคในการนำเข้าร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เหล่านี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะทางพรรคได้เสนอเข้ามาจะให้ทำอย่างไร
รวมไปถึงเรื่องญัตติคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทางสภาหรือไม่นั้น ซึ่งกว่าจะเปิดสมัยประชุมหน้าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญก็คงมีผลออกมาแล้ว
จึงเป็นสาเหตุที่พยายามผลักดันเรื่องนี้ เพื่อให้รัฐสภาได้บันทึกไว้ว่าไม่เห็นชอบกับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ผูกพันกับรัฐสภานั่นเอง แต่ญัตติก็ได้ตกไปเพราะที่ประชุมโหวตเสียงแล้วไม่อนุญาต เพราะขาดไป 5 เสียง

สรุปบทเรียนที่เกิดขึ้นอย่างไร

การมองต่างจากพรรคไม่ได้หมายความว่าเป็นเหตุทำให้เราแตกแยก ผมพูดมาตลอดว่าเป็นเรื่องสีสันในระบอบประชาธิปไตยที่ดี กับหน้าที่ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ
ผมจะทำหน้าที่ในสิ่งที่ถูกต้องอย่างเดิม เขาจะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าโดนตำหนิจากสังคมเช่นนี้ยังจะทำผิดซ้ำอีก ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
ตัวเราทำหน้าที่อย่างเป็นกลางไว้ก็พอแล้ว ใช้เหตุและผลกับทุกเรื่องเสมอ จะไปปิดปากห้ามใครพูดก็คงไม่ได้อยู่แล้ว
ส่วนการเอาเรื่องอะไรใครเพื่อให้สภาดูมีความเคร่งครัดนั้น ผมยังไม่คิด เพราะถ้าคิดคงแจ้งความไปนานแล้ว