โพสท์ทูเดย์ 7 มิถุนายน 2555 >>>
"อนุสรณ์" ระบุ ไม่แปลกใจ "วสันต์" ตีความมาตรา 68 โดยใช้ฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมตั้งฉายาตุลาการดิกชันนารี
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ถึงการตีความมาตรา 68 ขอให้ไปดูรัฐธรรมนูญฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ จะชัดเจนว่าการยื่นคำร้อง เป็นเรื่องของผู้ทราบ ไม่ใช่เรื่องของอัยการสูงสุดเพียงอย่างเดียว ว่า ไม่เหนือความคาดหมาย ที่ท่านออกมาพูดและยึดหลักแบบนี้ เพราะองค์กรเดียวกันนี้ เคยสร้างผลงาน ที่เป็นบรรทัดฐานใหม่ในการพิจารณาพิพากษา จนนำไปสู่การพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ นายสมัคร สุนทรเวช โดยการนำเอาพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปีพุทธศักราช 2542 มาเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาตัดสินคดีความในครั้งนั้น แทนกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้นายสมัคร ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยมติเอกฉันท์ 9-0 ในปี 2551 มาแล้ว
มาปีนี้ พุทธศักราช 2555ศาลรัฐธรรมนูญก็ยังคงมาฟอร์มเดิม เดินทางถนัด แต่เที่ยวนี้โกอินเตอร์ เปิดดิกชันนารีแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ นี่จึงอาจจะเป็นที่มาของหลักการทำงานแบบ ตุลาการภิวัฒน์ หรือ ตุลาการโกอินเตอร์ ถือว่า คุณภาพสมราคา คือ ไปเปิดดิกชันนารี มาใช้ในการวินิจฉัย ทั้งที่รัฐธรรมนูญ ฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ก็แปลมาจากภาษาไทย มันจะมีความหมายแตกต่างกันไปได้อย่างไร และเกิดคำถามขึ้นว่า ตกลงประเทศนี้ใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาราชการกันแน่ จึงอยากขอตั้งฉายา ให้คณะบุคคลเหล่านี้แทนชื่อเดิมว่า ตุลาการดิกชันนารี เสมอต้น เสมอปลาย ไม่เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ที่เปลี่ยนไป ไม่เชื่อมั่นในระบบรัฐสภาแล้ว และ จะเลือกเชื่อมั่นเฉพาะตอนที่ตัวเองเป็นรัฐบาลเท่านั้น เดิมมีสัญลักษณ์พรรคเป็น แม่พระธรณีบีบมวยผม แต่มาในยุคนายอภิสิทธิ์ ส.ส.จิรายุ ห่วงทรัพย์ พรรคเพื่อไทย คงอยากจะเปลี่ยนสัญลักษณ์พรรคให้ใหม่เป็น พระแม่ธานีบีบคอผม นายอนุสรณ์ กล่าว