ไต่สวนการตายวัดปทุมหลักฐานชัดกระสุนสงครามสีเขียวยิงจากบนลงล่าง

ประชาไท 19 มิถุนายน 2555 >>>




ศาลอาญากรุงเทพใต้ (18 มิ.ย. 2555) ไต่สวนชันสูตรศพ 6 ศพ วัดปทุมฯ รอง ผบก.น.6 ให้การ วิถีกระสุนยิงจากรางรถไฟฟ้า ที่มีแต่ทหาร เผย 5 ศพ ถูกยิงโดยกระสุนหัวเขียว
เมื่อเวลา 09.30 น. ศาลได้นัดไต่สวนคำร้องการเสียชีวิต คดีหมายเลขดำ ช.5/2555 พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิตของ
  • นายสุวรรณ ศรีรักษา อายุ 30 ปี อาชีพเกษตรกร ผู้เสียชีวิตที่ 1 
  • นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแห่ง ผู้เสียชีวิตที่ 2
  • นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ผู้เสียชีวิตที่ 3 
  • นายรพ สุขสถิต อายุ 66 ปี อาชีพพนักงานขับรถรับจ้างในสนามบิน ผู้เสียชีวิตที่ 4 
  • น.ส.กมนเกด อัคฮาด อายุ 25 ปี อาชีพพยาบาลอาสา ผู้เสียชีวิตที่ 5 และ
  • นายอัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้าง ผู้เสียชีวิตที่ 6 
ทั้ง 6 ศพ ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม แยกราชประสงค์ ในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
โดยอัยการเตรียม พยานเบิกความ 7 ปาก ประกอบด้วย พ.ต.อ.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6, นายขาล ศรีรักษา อายุ 65 ปี บิดาของนายสุวรรณ, นางอัญชลี สาลิกานนท์ อายุ 36 ปี พี่สาวของนายอัฐชัย, นายสมใจ เข็มทอง อายุ 50 ปี พี่ชายของนายมงคล, นางสมคิด สุขสถิต อายุ 61 ปี ภรรยาของนายรพ, นางพะเยาว์ มารดา น.ส.กมลเกด และ นายถวิล ใสลำเผาะ อายุ 63 ปี ลุงของนายอัครเดช
ซึ่งก่อนเริ่มการพิจารณา ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้สนใจเข้าร่วมฟังการพิจารณาได้เพราะเป็นการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย แต่มีคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องจดบันทึกคำเบิกความหรือใช้เครื่องบันทึกเสียงหรือโทรศัพท์มือถือบันทึกเสียงคำเบิกความไม่เช่นนั้นจะถือว่าละเมิดอำนาจศาล
ทั้งนี้ในการเบิกความ พ.ต.อ.สืบศักดิ์ ระบุว่า วันที่ 19 พ.ค. 53 แกนนำกลุ่ม นปช. ได้ประกาศยุติการชุมนุมบริเวณเวทีราชประสงค์ พร้อมทั้งประกาศให้ผู้ชุมนุมไปรวมตัวกันที่วัดปทุมฯ เพื่อรอเดินทางกลับบ้าน ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารจาก 2 หน่วยงานได้ลาดตระเวนบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน และบนสถานีรถไฟฟ้าสยามเพื่อปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุเพลิงไหม้หน้าห้างสรรพสินค้าสยาม ระหว่างนี้นายสุวรรณ ศรีรักษา ซึ่งกำลังต่อแถวเข้าห้องน้ำในวัดปทุมฯ ถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่ร่างกายเสียชีวิต ส่วนนายอัฐชัย ชุมจันทร์ ถูกยิงขณะเดินข้ามถนนจากแยกเฉลิมเผ่ามาที่หน้าวัดปทุมฯ ในเวลาใกล้เคียงกัน นายรพ สุขสถิต และนายมงคล เข็มทอง อาสาสมัครปอเต็กตึ้ง ซึ่งยืนอยู่บริเวณประตูทางออกวัดปทุมฯ ถูกยิงเข้าที่ร่างกาย สำหรับ น.ส.กมนเกด อัคฮาด และนายอัครเดช ขันแก้ว ซึ่งเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้บาดเจ็บถูกยิงขณะก้มหลบกระสุนปืนบริเวณเต็นท์ภายในวัดปทุมฯ
หลังเกิดเหตุได้นำศพทั้งหมดส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ พร้อมทั้งได้เชิญผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจพิสูจน์วิถีกระสุนปืนพบว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 5 ศพ ยกเว้นนายอัฐชัย ถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หัวเขียว ซึ่งเป็นกระสุนที่ใช้กับปืนเอ็ม 16 และปืนทราโว่ที่ใช้ในราชการทหาร เข้าอวัยวะสำคัญเสียชีวิต โดยวิถีกระสุนเป็นการยิงจากบนลงล่าง เท่านั้น ซึ่งสอบสวนเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำรางรถไฟฟ้าให้การว่า มีชายชุดดำยิงปืนขึ้นมาจึงได้ยิงตอบโต้ไป แต่จากการตรวจรอยวิถีกระสุนไม่พบการยิงจากล่างขึ้นบน นอกจากนี้ ภาพถ่ายของประจักษ์พยานนำมาให้ตนหลังเกิดเหตุพบว่าบนรางรถไฟฟ้ามีเพียงเจ้าหน้าที่ทหารประจำจุดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในการสอบสวนตนทราบว่ามีเอกสารแผนการปฏิบัติการสลายการชุมนุม แต่ไม่ได้นำมาประกอบในการพิจารณา
ภายหลังการไต่สวน พ.ต.อ.สืบศักดิ์ เสร็จสิ้นแล้ว ศาลนัดไต่สวนพยานครั้งต่อไปวันที่ 9 ส.ค. นี้เวลา 09.00 น. และนัดไต่สวนต่อเนื่องทุกวันพฤหัส จนครบ 32 นัด โดยแบ่งเป็นพยานฝ่ายอัยการผู้ร้อง 17 นัด และพยานฝ่ายผู้เสียหายอีก 15 นัด
ด้าน นายขาล ศรีรักษา อายุ 65 ปี บิดาของนายสุวรรณ ผู้ตาย กล่าวว่า หลังเกิดเหตุสลายการชุมนุมที่เป็นเหตุให้บุตรชายถูกยิงเสียชีวิตแล้วก็ได้ไปแจ้งความที่ สน.ปทุมวัน ให้สืบสวนสอบสวนหาตัวผู้ที่ลงมือยิง เพื่อดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม โดยเชื่อว่าน่าจะมาจากฝีมือเจ้าหน้าที่ทหาร อย่างไรก็ตามรู้สึกดีใจที่คดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลเพื่อที่จะค้นหาคนผิดมาลงโทษ แม้จะรอมานานกว่า 2 ปี แล้วนานอีกกี่ปีก็จะรอความยุติธรรม
นางอัญชลี สาลิกานนท์ อายุ 36 ปี พี่สาวของนายอัฐชัย ผู้เสียหาย กล่าวว่า นายอัฐชัย เข้าร่วมการชุมนุมตั้งแต่รัฐประหารเมื่อปี 2549 เนื่องจากเห็นว่ามีการกระทำที่เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม วันเกิดเหตุเพื่อนของนายอัฐชัย ได้โทรศัพท์มาแจ้งว่านายอัฐชัยถูกยิงเสียชีวิตเมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 19 พ.ค. 53 กระสุนเข้าที่หน้าอกด้านซ้าย ซึ่งมี น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาเข้ามาช่วยปั๊มหัวใจแต่ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ ต่อมา น.ส.กมนเกด ก็ถูกยิงตาม พร้อมกับนายมงคล และนายอัครเดช โดยก่อนหน้าที่น้องชายจะถูกยิงเสียชีวิตได้โทรศัพท์เตือนให้อยู่แต่ภายในวัด แต่ก็มาถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งตนอยากให้มีการพิสูจน์ความจริงว่าใครเป็นผู้สั่งการหรืออยู่เบื้องหลังไม่เฉพาะคดี 6 ศพ ที่หน้าวัดปทุม แต่รวมถึง 91 ศพในเหตุการณ์สลายการชุมนุม แม้ว่าคดีจะเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลทำให้ดีใจขึ้นมาหน่อย เพราะยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่เกี่ยวข้อง และยังไม่ทราบผลการไต่สวนจะออกมาอย่างไร แต่ไม่อยากให้มีการเรียกผู้ที่เสียชีวิตว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะผู้เสียชีวิตคือประชาชนที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อประเทศชาติ
ส่วนนายสมใจ เข็มทอง อายุ 50 ปี พี่ชายของนายมงคล ผู้ตาย กล่าวว่า สันนิษฐานว่าผู้ที่ลงมือยิงเป็นเจ้าหน้าที่ทหารอย่างแน่นอนโดยยิงมาจากรางรถไฟฟ้า ซึ่งก็ตรงกับผลการสอบสวนของ พนักงานสอบสวน .สน.ปทุมวันและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ระบุว่า เกิดจากฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกับอีก 2 ศพ อยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้น้องชายเพราะไม่ได้ตายธรรมดา เป็นการถูกทำให้ตาย ทหารที่ลงมือยิงเป็นเพียงผู้รับคำสั่ง แต่คำสั่งน่าจะมาจากนายอภิสิทธิ์นายกรัฐมนตรีขณะนั้น และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศอฉ. ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่อาจเป็นการทำเกินกว่าเหตุ ซึ่งกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ต้องมีความเมตตาธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่ มองผู้ชุมนุมว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน และต้องปฏิบัติตามขั้นตอนสลายการชุมนุมจากเบาไปหาหนักและไม่สามารถใช้กระสุนจริงได้ แต่นี่เป็นการใช้ความรุนแรงทันทีไม่มีการแจ้งให้ผู้ชุมนุมสลายตัว
ส่วนนางสมคิด สุขสถิต อายุ 61 ปี ภรรยาของนายรพ ระบุว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่รู้ว่ามาจากฝีมือใคร ขณะนี้ไม่อยากคิดอะไรมาก หลังจาก นายรพ สามีเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 แล้วต่อมาลูกชายคนเดียวก็มาเสียชีวิตตามไปอีกในเดือนตุลาคม ทุกวันนี้ต้องอยู่คนเดียว ปวดหัว นอนไม่หลับ อยากให้ปล่อยเป็นไปตามเรื่องตามราว
ส่วน นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด กล่าวว่า ไม่เคยคิดว่าลูกสาวที่เป็นพยาบาลจะต้องมาเสียชีวิต เพราะไม่ว่าประเทศไหนที่รบกันหนักว่านี้ ยังไม่มีการยิงหน่วยแพทย์พยาบาลที่สวมปลอกแขนกาชาด ภายในเต๊นท์พยาบาลหน้าวัด กองทัพยังออกข่าวโกหกว่าถูกยิงที่อื่นแล้วลากศพมาในวัด มั่นใจ 100 % ว่า น.ส.กมนเกด ถูกรัฐฆาตกรรม อยากให้มีการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ให้ความจริงปรากฏว่าใครเป็นผู้สั่งการสั่งหาร และเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้ ให้เป็นประวัติศาสตร์ เจ้าหน้าที่รัฐที่สังหารประชาชนต้องขึ้นศาล ไม่ใช่แค่สร้างอนุสาวรีย์ให้ผู้ตาย ดีใจที่มีความหวังจากศาลที่เริ่มการไต่สวน แต่ยังห่วงเรื่องการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่อาจมีการนิรโทษกรรมคนทำผิดทั้งหมด
นางพะเยาว์กล่าวต่อว่าหลังเกิดเหตุตนไปแจ้งความที่กองบังคับการกองปราบปรามให้สอบสวนเอาผิดนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ศอฉ. และผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ป.ป.ช. นอกจากนี้จะยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในนำคดีสลายการชุมนุมปี 2553 ให้ศาลอาญาระหว่างประเทศรับพิจารณาอีกทางด้วยเพื่อพิสูจน์ความจริง แต่ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือไม่
ด้านนายถวิล ใสลำเผาะ อายุ 63 ปี ลุงของนายอัครเดช ผู้ตาย กล่าวว่า ยังสงสัยว่าใครเป็นคนยิงนายอัครเดช ซึ่งเป็นเพียงผู้อาศัยอยู่ในวัด ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีการพิสูจน์ความจริงว่ามาจากสาเหตุอะไรที่ต้องสั่งฆ่า