จาตุรนต์ ฉายแสง: กรณี "จตุพร พรหมพันธุ์" ขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

มติชน 30 พฤษภาคม 2555 >>>




การพ้นจากสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นที่สนใจและรับรู้กันอย่างกว้างขวาง แต่การวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยนี้ดูจะมีไม่มากนัก ประเด็นที่ได้รับความสนใจต่อเนื่องดูเหมือนจะเน้นไปที่จตุพรจะเป็นอะไรต่อไป จะได้เป็นรัฐมนตรีหรือไม่
ผมกลับสนใจที่จะศึกษาและวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยนี้เสียมากกว่า
ผมเห็นว่าคำวินิจฉัยนี้มีปัญหา และเมื่อเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีผลผูกพันให้องค์กรต่างๆ ของรัฐต้องถือเป็นแนวปฏิบัติต่อไป คำวินิจฉัยนี้ก็ย่อมจะสร้างปัญหาต่อไป
ปกติที่คนคุ้นเคย คำวินิจฉัยต่างๆ มักเริ่มด้วยการอธิบายความเป็นมาว่าใครร้องใครว่าอย่างไร อีกฝ่ายแก้ต่างโต้แย้งว่าอย่างไร แล้วก็จะมีการวิเคราะห์เป็นเรื่องๆ ไปจนในที่สุดก็สรุปเป็นคำตัดสินหรือคำวินิจฉัย
แต่ในบทความนี้แทนที่จะเรียงลำดับอย่างเดียวกับคำวินิจฉัยต่างๆ ดังกล่าว ผมจะขอเริ่มจากความเห็นโดยสรุปของผมเสียก่อนเลยคือ ผมเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้สมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ สิ้นสุดลงนี้เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเอง ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยและไม่เป็นธรรม
คำวินิจฉัยนี้คือการแสดงบทบาทของสิ่งที่เรียกว่า "ตุลาการภิวัฒน์" ในการเข้ามาจัดการกับการเมืองอีกครั้งหนึ่งและยิ่งกว่านั้นคำวินิจฉัยนี้ยังได้เปิดช่องให้เกิดการกลั่นแกล้งกันทางการเมืองได้มากขึ้นและมีผลเป็นการเพิ่มอำนาจบทบาทของฝ่ายตุลาการในการเข้ามาแทรกแซงก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้มากขึ้น ถึงขั้นที่ทำให้ในบางกรณีฝ่ายตุลาการมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจตัดสินหรือกำหนดได้ว่า จะไม่ให้ใครเป็น ส.ส. หรือแม้แต่ไม่ให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ รวมทั้งอาจใช้อำนาจเดียวกันนี้ถอดถอน ส.ส. หรือนายกรัฐมนตรีเสียก็ได้
ด้วยคำวินิจฉัยนี้จะยิ่งทำให้เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งและวิกฤตในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น
ผมจะอธิบายเหตุผลประกอบความเห็นข้างต้นโดยจะพยายามลงในรายละเอียดให้น้อยที่สุด คือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ผมขอยกเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ-ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่.../2555 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 ให้สมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 106 (4) ประกอบมาตรา 101 (3)
โดยเห็นว่าในวันเลือกตั้ง (3 ก.ค. 54) นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งเนื่องจากถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล จึงทำให้สมาชิกภาพของการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยของนายจตุพร พรหมพันธุ์ สิ้นสุดลงตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 20 (3) ประกอบมาตรา 19 และมาตรา 8
เมื่อสมาชิกภาพของการเป็นสมาชิกพรรคสิ้นสุดลง จึงทำให้สมาชิกภาพของการเป็น ส.ส. ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ต้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 (4) ประกอบมาตรา 101 (3) ด้วย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัย
ทำไมจึงว่าคำวินิจฉัยนี้ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
เริ่มจากคำถามง่ายๆ ว่า ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คนถูกคุมขังสมัครรับเลือกตั้งได้หรือไม่ และการถูกคุมขังเป็นเหตุให้ ส.ส. พ้นจากการเป็น ส.ส. หรือไม่ จะตอบคำถามนี้ต้องดูรัฐธรรมนูญมาตราที่เกี่ยวข้องเพียง 3 มาตราเท่านั้น ดังนี้
มาตรา 100 บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
(1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
(2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
(3) ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
(4) วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
มาตรา 102 บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(3) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 100 (1) (2) หรือ (4)
(4) ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังโดยหมายของศาล
(5) เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
มาตรา 106 สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง เมื่อ
(5) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 102
(7) ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเองเป็นสมาชิก หรือพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารของพรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น ให้พ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ตนเองเป็นสมาชิก ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ลาออกหรือพรรคการเมืองมีมติ
เว้นแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นได้อุทธรณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติคัดค้านว่ามติดังกล่าวมีลักษณะตามมาตรา 65 วรรคสาม ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติดังกล่าวมิได้มีลักษณะตามมาตรา 65 วรรคสาม ให้ถือว่าสมาชิกภาพสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญว่ามติดังกล่าวมีลักษณะตามมาตรา 65 วรรคสาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นอาจเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
(8) ขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นเป็นสมาชิก และไม่อาจเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง ในกรณีเช่นนี้ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดหกสิบวันนั้น
(11) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญมีเจตนาว่าผู้ถูกคุมขังยังมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ดูได้จากมาตรา 102 ว่าด้วยลักษณะของบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งเป็น ส.ส. ใน (3) ที่ว่า "เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตามมาตรา 100 (1), (2) หรือ (4)" จะเห็นว่าได้ตั้งใจเว้น (3) ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนั้นในมาตรา 102 (4), (5) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการต้องคำพิพากษากับเคยถูกคำพิพากษา ซึ่งก็แสดงว่าไม่ต้องการให้ครอบคลุมถึงการถูกคุมขังโดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (ในระหว่างการพิจารณาคดี) ความหมายก็คือรัฐธรรมนูญตั้งใจบอกไว้ว่า ถูกคุมขังอยู่ก็ยังสามารถไปเป็น ส.ส. ได้ถ้าประชาชนเขาเลือก
สำหรับเรื่องการพ้นสมาชิกภาพของการเป็น ส.ส. รัฐธรรมนูญก็แสดงเจตนาไว้อย่างชัดเจนว่าการถูกคุมขังโดยหมายของศาล หรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (ในระหว่างการพิจารณาคดี) ไม่เป็นเหตุให้ผู้ที่เป็น ส.ส. อยู่พ้นจากการเป็น ส.ส. ไปได้
ประเด็นนี้ดูได้จากมาตรา 106 ที่ระบุเหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลงอยู่ 11 ข้อ ก็ไม่มีเรื่องของการถูกคุมขังโดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (ในระหว่างการพิจารณาคดี) อยู่ด้วย จะมีที่เกี่ยวข้องก็คือในมาตรา 106 (11) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทความผิดลหุโทษหรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
สอดคล้องกับหลักการสำคัญตามรัฐธรรมนูญมาตรา 39 ที่ว่า "...ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด" แสดงว่าบุคคลใดได้กระทำผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิดมิได้
ส่วนที่เกี่ยวกับการขาดจากสมาชิกภาพของ ส.ส. ที่เกิดจากการขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคนั้น รัฐธรรมนูญก็มีบัญญัติไว้ในมาตรา 106 (7), (8) เป็น 2 กรณีเท่านั้น ไม่มีกรณีที่เกิดจากการมีลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเลือกตั้ง ความหมายก็คือการถูกคุมขังโดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (ในระหว่างการพิจารณาคดี) ไม่เป็นเหตุให้ผู้ที่เป็น ส.ส. อยู่พ้นจากการเป็น ส.ส. ไปได้
สรุปได้ว่าตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ผู้ที่ถูกคุมขังโดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (ในระหว่างการพิจารณาคดี) ไม่ถูกตัดสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งและหากเป็น ส.ส. อยู่ ก็ไม่เป็นเหตุให้พ้นจากการเป็น ส.ส. ไปได้
การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและขัดต่อหลักนิติธรรม แล้วศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายจตุพรพ้นจากการเป็น ส.ส. ไปได้อย่างไร ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายจตุพรพ้นจากการเป็น ส.ส. นั้นเรียงลำดับเหตุและผลเสียใหม่จะเป็นดังนี้
นายจตุพรพ้นจากการเป็น ส.ส. เนื่องจากนายจตุพรพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยในวันเลือกตั้ง ที่พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเพราะในวันเลือกตั้งนายจตุพรเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง และที่นายจตุพรกลายเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งไปก็เพราะถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาลในระหว่างการพิจารณาคดี
ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างนี้ไม่ได้อาศัยรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการวินิจฉัย แต่ได้ใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งบัญญัติไว้ว่า สมาชิกภาพของสมาชิกพรรคสิ้นสุดลงเมื่อมีลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ เมื่อสมาชิกภาพสมาชิกพรรคสิ้นสุดลง สมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ก็สิ้นสุดลงไปด้วย
การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้เป็นการนำเอา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีลำดับขั้นต่ำกว่ารัฐธรรมนูญมาใช้บังคับให้ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยข้อห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งและเหตุที่ทำให้ ส.ส. พ้นจากการเป็น ส.ส. กลายเป็นว่าการถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาลระหว่างไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว สามารถเป็นเหตุให้ ส.ส. พ้นจากความเป็น ส.ส. ไปได้
การใช้บังคับกฎหมายเช่นนี้จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่ว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้
นอกจากนี้แม้แต่การให้เหตุผลในการใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่จะวินิจฉัยว่านายจตุพรพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคก็เป็นการให้เหตุผลที่สับสน เช่น ที่ได้อธิบายในบางตอนว่า
   "....การบัญญัติลักษณะต้องห้ามไม่ให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่รวมถึงต้องถูกคุมขังโดยหมายของศาล ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมให้บุคคลที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของกฎหมายและระเบียบวินัยของพรรคการเมือง การถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาของศาล โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวย่อมแสดงให้เห็นว่าการกระทำผิดมีความรุนแรงและมีเหตุที่ศาลจะไม่ปล่อยตัวชั่วคราวนั้นเป็นวัตถุประสงค์ของการกำหนดลักษณะต้องห้ามดังกล่าว นอกจากนี้ผู้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองและเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกพรรคการเมืองในการมีส่วนร่วมการเมือง โดยเฉพาะการใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญกว่าบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
ดังนั้น เมื่อผู้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่ได้ปฏิบัติตนอยู่ภายในกรอบกฎหมายจนถูกดำเนินคดีและต้องถูกคุมขังโดยหมายของศาลหรือ โดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่นับการปล่อยตัวชั่วคราวในวันเลือกตั้ง ทำให้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 100 (3) ย่อมถือเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้จะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเห็นว่าการเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 100 (3) เป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลซึ่งจะเป็นสมาชิกพรรคการเมือง..."
การให้เหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญนี้มีคำถามได้มากมายและจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตด้วย เช่น การไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแสดงว่าการกระทำผิดมีความรุนแรงจริงหรือ ในเมื่อยังไม่มีการพิสูจน์ว่าทำความผิดจริงอาจถูกใส่ร้าย ปรักปรำก็ได้ การไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว อาจเกิดได้จากสาเหตุต่างๆ กัน เช่น ไม่มีเงินค่าประกันก็ได้ ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ การถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาของศาลโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ก็ไม่ได้แสดงว่าบุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบวินัยของพรรคเสมอไปแต่อย่างใด
การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ นอกจากไม่เป็นเหตุเป็นผลแล้ว ยังไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 39 ดังกล่าวมาแล้วเนื่องจากเป็นการสันนิษฐานไปก่อนว่าจำเลยมีความผิด
มีคำถามต่อไปอีกว่าถ้าการถูกคุมขังโดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้บุคคลพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคได้ เหตุใดจึงมีผลเฉพาะในวันเลือกตั้งเท่านั้น วันอื่นๆ ทำไมไม่มีผลให้พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคก็จะเกิดความลักลั่นอย่างมาก ที่คนคนหนึ่งอาจถูกคุมขังอยู่โดยไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นเดือนๆ โดยไม่พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง แต่หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แล้วยังคงถูกคุมขังอยู่ในวันเลือกตั้ง คนคนนั้นก็จะพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองทันที
ยังจะมีปัญหาการทำให้เกิดการกลั่นแกล้งทางการเมืองกันได้ด้วย เช่น ผู้สมัครรับเลือกตั้งอาจถูกกลั่นแกล้งด้วยการร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีและถูกคุมขังโดยหมายของศาลโดยไม่ได้รับการประกันตัวหรือถูกถอนประกันในวันเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนนั้นก็สิ้นสุดการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและหมดสิทธิที่จะเป็น ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งนั้นไปเลย
การกลั่นแกล้งยังอาจเกิดกับผู้เป็น ส.ส. อยู่โดยถูกต้องตามกฎหมายในทำนองเดียวกันด้วยก็ได้ เช่น ในกรณีมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น แล้ว ส.ส. คนหนึ่งถูกดำเนินคดีและถูกคุมขังโดยหมายของศาลโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ส.ส. คนนั้นก็จะขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคและพ้นจากการเป็น ส.ส.ในทันที ถ้า ส.ส. คนนั้นเผอิญเป็นนายกฯอยู่ด้วย เขาก็จะพ้นจากการเป็นนายกฯไปด้วย
คำวินิจฉัยนี้มีผลเท่ากับการเพิ่มเติมอำนาจของศาลในการที่จะตัดสินในการเป็น ส.ส. ของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาคนหนึ่งคนใดก็ได้ด้วยการไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวในวันเลือกตั้ง ถ้าผู้ที่ถูกคุมขังอยู่นั้นกำลังเตรียมแข่งขันเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เขาก็เท่ากับถูกตัดสิทธิในการที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีไปด้วย เท่ากับเพิ่มอำนาจศาลในการสกัดกั้นไม่ให้ใครเป็นนายกฯได้ด้วย และคำวินิจฉัยนี้ยังเท่ากับเป็นการเพิ่มอำนาจศาลในการถอดถอน ส.ส. หรือแม้แต่นายกฯ ในกรณีทำนองเดียวกันด้วย
โดยคำวินิจฉัยนี้เองย่อมเป็นการแสดงบทบาทของตุลาการภิวัฒน์อีกครั้งหนึ่ง แต่ยิ่งกว่านั้นคำวินิจฉัยนี้ยังได้เพิ่มช่องทางในการกลั่นแกล้งเอาเปรียบกันทางการเมืองและก็เป็นการเพิ่มบทบาทของตุลาการภิวัฒน์ในการที่จะแทรกแซงจัดการกับปัญหาทางการเมืองต่อไป ซึ่งขัดต่อหลักการประชาธิปไตย และจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งในสังคมไทยทวีความรุนแรงขึ้นได้อีกด้วย
แม้คำวินิจฉัยนี้ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และอาจจะสร้างปัญหาต่างๆ ตามมาได้อีกมากก็ตามแต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปแล้วย่อมเป็นที่สุด ต้องใช้เป็นบรรทัดฐานต่อไป
คำวินิจฉัยนี้ยังมีผลเท่ากับเป็นการแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญในส่วนที่ว่าด้วยการพ้นจากการเป็น ส.ส. ไปเรียบร้อยแล้วด้วย ดังนั้น หากต้องการที่จะป้องกันหรือแก้ปัญหาที่คำวินิจฉัยนี้สร้างขึ้นหรือทิ้งไว้ก็เหลืออยู่เพียงวิธีเดียวคือการแก้รัฐธรรมนูญนี้เสียใหม่ ให้เป็นประชาธิปไตยและสอดคล้องกับหลักนิติธรรม