"เพื่อไทย" พ่าย ยกระดับประชาธิปไตย

มติชน 28 มีนาคม 2555 >>>




การพ่ายแพ้ให้แก่พรรคการเมืองคู่แข่ง 2 ครั้ง 2 คราในเวลาสองวันซ้อนนั้น น่าเชื่อได้ว่ามีหลายเหตุปัจจัย เพียงแต่ยังไม่แน่ชัดเท่านั้นว่า เรื่องใดมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจไม่ลงคะแนนเลือกผู้สมัครพรรคเพื่อไทยสูงสุด
แต่ไม่ว่าเป็นเรื่องใด ผลการเลือกตั้ง ได้ส่งสัญญาณเตือนพรรคเพื่อไทย ให้ต้องทบทวน คิดอ่าน ไฉนพรรคถึงได้พ่ายแพ้การเลือกตั้งปทุมธานีในชั่วข้ามปี
ทั้งที่เป็นเมืองเสื้อแดง และอัดแน่นไปด้วย ส.ส. ยกจังหวัด ยากยิ่งจะมีผู้สมัครต่างพรรคมาเบียดแทรกแย่งที่นั่งได้อย่างง่ายดายหากเป็นเมื่อปีกลาย
ทำไมมวลชนจึงรู้สึกว้าเหว่ ถูกทอดทิ้ง !
ความจริงการเลือกตั้ง จ.ปทุมธานี ครั้งนี้ โดยเฉพาะสนาม ส.ส.เขต 5 ที่ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยพ่ายให้กับผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์นั้น คะแนนเสียงที่ออกมา บ่งบอกความรู้สึกบางประการของประชาชนที่มีต่อทั้งสองพรรค ไม่ใช่พรรคหนึ่งพรรคใดเท่านั้น เนื่องจากความนิยมถดถอย ฐานเสียง-คะแนนลดต่ำลงทั้งคู่
เกียรติศักดิ์ ส่องแสง จากพรรคประชาธิปัตย์ เสียงวูบจากการลงสมัครครั้งแรก ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 จากเคยทำได้ 34,402 คะแนน แต่แพ้ สุเมธ ฤทธาคนี ที่ได้คะแนนเฉียด 5 หมื่น มาครั้งนี้คะแนนเกียรติศักดิ์เหลือเพียง 28,156 คะแนน
เช่นเดียวกันกับฐานคะแนนพรรคเพื่อไทย จากเดิมสุเมธทำไว้สูงสุดของจังหวัด สมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ กลับเก็บแต้มได้เพียง 24,255 คะแนน
วิเคราะห์จากคะแนนเสียง สถานการณ์พรรคเพื่อไทยก็มิได้เลวร้ายจนยากพลิกฟื้น เนื่องจากคะแนน ไม่ได้เทข้ามฟากไปลงที่ผู้สมัครประชาธิปัตย์ คล้ายกับว่ากลุ่มฐานเสียงที่เคยให้การสนับสนุนเพื่อไทย ยังคงเก็บคะแนนไว้ เพื่อรอดูอะไรบางอย่าง ก่อนการตัดสินใจครั้งต่อไป
ทว่าพรรคเพื่อไทยใช่ว่าจะประมาท มองข้ามสัญญาณเตือนได้ หากปล่อยไหลรูดมากกว่านี้ จะเป็นงานกอบกู้ที่ยากลำบากยิ่งขึ้น ประชาธิปัตย์เองก็เช่นกัน การได้เสียงลดน้อยถอยลงแต่ชนะเลือกตั้งแม้ดูดี จุดประกายความหวังหากทำงานหนักโอกาสย่อมเปิดกว้างเสมอ แต่ก็ต้องรักษาฐานเดิมให้มั่นคง ไปพร้อมๆ กับการขยายฐานมวลชนใหม่ให้กว้างขวางออกไปยิ่งๆ ขึ้น
จากเขตเป็นจังหวัด ยกระดับไปเป็นภาค มุ่งสู่เป้าหมายแห่งชัยชนะเป็นการทั่วไป ยึดครองที่นั่งส่วนใหญ่ของประเทศ
นั่นเป็นโจทย์ เป็นการบ้านของพรรคการเมือง ที่จะรักษาระดับความนิยม และขยายฐานการสนับสนุนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
แต่สำหรับการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนแล้ว แม้เร็วเกินไปที่จะสรุปอย่างหนึ่งอย่างใด ทว่าด้านหนึ่งปฏิเสธมิได้เช่นกันว่า นี่เป็นย่างก้าวใหม่ของกระบวนการยกระดับประชาธิปไตย
เป็นนิมิตหมาย พัฒนาการอย่างหนึ่งในการใช้กระบวนการเลือกตั้ง ควบคุมพฤติกรรม บทบาทหน้าที่นักการเมือง
ที่ผ่านมานั้นเรามักมีปัญหาเรื่องการยึดโยงระหว่างชาวบ้านกับนักการเมือง ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้จริง ไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงาน การทำหน้าที่ รวมถึงไม่อาจควบคุมพฤติกรรมและการทำหน้าที่ของนักการเมือง-พรรคการเมือง ไม่สามารถควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินให้อยู่ในร่องในรอยที่ถูกต้อง ชอบธรรมได้เท่าที่ควร
เลือกตั้งได้เป็นผู้แทน ได้เป็นรัฐบาลแล้ว ชาวบ้านมักถูกตัดขาด มองข้าม หมดสิ้นความสำคัญในทันใด ไม่ได้รับการเอาใจใส่อีกต่อไป
การใช้การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งลงโทษ จึงเป็นการควบคุมพฤติกรรมนักการเมือง ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินอย่างหนึ่ง มิให้ตัดสินใจ หรือทำอะไรก็แล้วแต่ตามอำเภอใจ ตามการพิจารณากันเองของฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะเรื่องสำคัญ กระทบต่อวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างกว้างขวางแต่เพียงอย่างเดียว
วันนี้ชาวปทุมฯตื่นแล้ว พวกเขาไม่ได้หลับหูหลับตาเลือกใครก็ได้ ชนิดไม่เกี่ยงว่าจะส่งบิ๊กแบ๊ก หรือเสาไฟมาลง
จุดเล็กๆ นี้หากสามารถขยายแนวคิดไปทั่วทุกทิศภาคของประเทศ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศไทยตามมาอย่างแน่นอน
เป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทาง ความต้องการของประชาชน เจ้าของอำนาจประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยเคลื่อนไหวเรียกร้องมาตลอด