
ผ่าประเด็นร้อน
บรรยากาศในยามนี้หากพิจารณาในภาพรวมเหมือนกับว่าสงบนิ่งผิดสังเกต แต่ในความสงบนิ่งดังกล่าวมันก็เหมือนกับว่า “พายุใหญ่” กำลังจะโหมเข้ามาอย่างรุนแรงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อย่างไรก็ดี ภายใต้บรรยากาศแบบที่ว่ามันก็มีการเตรียมความพร้อมเอาไว้พร้อมสรรพแล้ว โดยเฉพาะถ้ามองดูความเคลื่อนไหวของฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่ก่อนหน้านี้ได้รุกคืบเข้ามาเต็มพิกัด แบบไม่เกรงใจใคร หรือถ้าพูดกันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องเรียกว่า “หน้าด้าน” นั่นแหละ
เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินเครื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการเตรียมการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในชื่อพระราชบัญญัติปรองดองก็ตาม แต่เป้าหมายปลายทางทั้งหมดอยู่ที่การลบล้างความผิดให้แก่ทักษิณ ชินวัตร ให้กลับมามีอำนาจทางการเมือง และสุดท้ายได้เงินที่ถูกยึดไปกลับคืนมา
นี่คือเป้าหมายและหลักการใหญ่ที่รออยู่ ทุกอย่างทำเพื่อผลประโยชน์ของ “ทักษิณ” เพียงคนเดียว ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไพร่กับอำมาตย์ที่ปลุกระดมก่อนหน้านี้ หรือแม้แต่เรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตยอะไรนั้น แค่เป็นเรื่องเสกสรรปั้นแต่ง สร้างเรื่อง สร้างความชอบธรรมในการปลุกระดมมวลชนขึ้นมาเท่านั้น เพราะประชาธิปไตย “ขี้หมา” อะไรสำหรับคนแบบนี้ ตลอดชีวิตล้วนแล้วแต่เข้านอกออกในสุมหัวกับเผด็จการแทบจะตลอดเวลา ที่ผ่านมาเคยเห็นสักครั้งหรือไม่ในการร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้กับมวลชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องทวงถามความยุติธรรมในสังคม แม้แต่สมัยเป็นนายกรัฐมนตรีเคยเข้าร่วมตอบหรือฟังกระทู้ เข้าประชุมสภาสักกี่ครั้งกันเชียว แถมตลอดชีวิตที่ร่ำรวยขึ้นมาก็มีแต่เรื่องถูกกล่าวหามีคดีซุกหุ้น เลี่ยงภาษี ติดสินบนศาล นี่นะหรือนักประชาธิปไตย ผู้นำแบบธรรมาภิบาล
อย่างไรก็ดี ถ้ามองอีกมุมหนึ่งการพุ่งพรวดขึ้นมาได้ของทักษิณ ส่วนสำคัญเป็นเพราะความล้มเหลวของฝ่ายตรงกันข้ามไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกมองว่าเชื่องช้า ไม่มีนโยบายอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน น่าเบื่อหน่าย ประกอบกับกลุ่มอำนาจทั้งที่เป็นสัญลักษณ์อำมาตย์ก็ล้วนแล้วไม่มีการปรับตัว “หน่อมแน้ม” มันก็ยิ่งไปสร้างความสำคัญให้กับ ทักษิณ เป็นทวีคูณ ประกอบลักษณะนิสัยของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ “บูชาคนรวย” โดยไม่สนใจที่มาว่ารวยมาได้อย่างไร หลงคิดว่าเก่ง ที่สำคัญยังเชื่อว่าตัวเองจะพึ่งพิงได้ และที่ผ่านมาคนอย่างเขาก็หลอกล่อให้เข้าใจได้อย่างนั้นจริงๆเสียด้วย
วกกลับมาที่สถานการณ์การเมืองที่ดูเหมือนสงบนิ่งชั่วคราว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบรรยากาศช่วงงานพระราชพิธีสำคัญที่คนไทยกำลังอยู่ในช่วงไว้อาลัย อีกทั้งต่อมาก็มีเรื่องเทศกาลสงกรานต์ทำให้ไม่เหมาะที่จะมาเคลื่อนไหวโครมคราม แต่ถึงกระนั้นอย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นก็คือแม้จะรู้บรรยากาศยังไม่เป็นใจ แต่ฝ่ายทักษิณก็ได้เตรียมการเอาไว้รองรับไว้พร้อมแล้ว ทั้งในเรื่องการขยายเวลาสมัยประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติออกไปอย่างไม่มีกำหนด ขณะเดียวกันแม้ในช่วงบรรยากาศ “พิเศษ” แบบนี้ แต่ล่าสุดประธานสภาผู้แทนราษฎร สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ก็นัดประชุมสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 10-11 เมษายน หวังรวบรัดให้เสร็จสิ้น เพื่อให้กระบวนการคัดเลือกและที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เรียบร้อยก่อนวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์
ดังนั้น ถ้ามองกันแบบนี้ก็เข้าใจทันทีว่า หลังเทศกาลหยุดยาว ดีกรีการเมืองจะต้องร้อนแรงขึ้นหลายเท่า โดยเฉพาะหาก ทักษิณ ต้องการเร่งปิดเกมให้เร็วที่สุด หลังจากเริ่มมองเห็นปัจจัยรอบข้างไม่ค่อยเป็นใจ โดยเฉพาะความล้มเหลวของน้องสาวตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เชิดขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชื่อว่าในใจลึกๆแล้วเขาก็ย่อมรับรู้ถึงสติปัญญากันดีอยู่แล้วว่ามีแค่ไหน เพราะคนในครอบครัวเดียวกันย่อมรู้ดีว่าพี่น้องคนไหน ลูกคนไหนโง่หรือฉลาดเป็นกรดอย่างไร ขณะเดียวกัน เมื่อหันมามองสังคมภายนอกก็เริ่มมีความไม่พอใจสะสมมากขึ้น ได้มองเห็นความเอาเปรียบ เห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที มันก็ยิ่งมีความเสี่ยงเรื่อยๆ และด้วยเหตุดังกล่าวนี่แหละที่ทำให้ต้องเป็นตัวเร่งให้รวบรัดแบบม้วนเดียวจบ
ขณะเดียวกัน เมื่อเร่งเกมเร็วก็ย่อมมีความเสี่ยงที่จะหัวคะมำและเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้มีไม่น้อยเหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกเมื่อสังคมได้มองเห็นแล้วว่าคนพวกนี้มัน “เห็นแก่ตัว” เอาแต่ได้ ไม่เกรงใจคนอื่น ที่ผ่านมาอาจไม่อยากสนใจมากนัก ปล่อยให้ผ่านตาไป พอกัดฟันทนได้ แต่นานวันเข้า ยิ่งเหิมเกริมคิดจ้องแต่กินรวบเอาทุกอย่างมันก็เกินไป และด้วยความรู้สึกดังกล่าวมันก็ทำให้เหลืออดในแบบ “ปรอทแตก” ขาดผึงเอาไม่อยู่ได้เหมือนกัน
แต่สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร นาทีนี้ถือว่าถอยไม่ได้แล้ว ต้องเดินหน้าลุยลูกเดียว เพราะถ้าปล่อยให้ช้าไปแค่นิดเดียวโอกาสพลาดก็มีสูงยิ่ง ไม่เชื่อก็ลองสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของสังคมทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งใหม่ๆ กับตอนนี้รับรองว่าต่างกันลิบลับ ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ระยะหลังจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของเขาที่มาป้วนเปี้ยนและสั่งการแทนในลักษณะนายกรัฐมนตรีตัวจริงชัดเจนขึ้น ทั้งเรื่องตั้งโต๊ะเจรจากับหัวโจกโจรใต้ เจรจาธุรกิจพลังงานที่กัมพูชา รวมไปถึงการซักซ้อมความเข้าใจเน้นย้ำเรื่องการเคลื่อนไหวมวลชนสนับสนุนอยู่นอกสภาระหว่างการพบหารือกับคนเสื้อแดงที่กรุงพนมเปญ ทุกอย่างก็เพื่อภารกิจที่จะมีขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเชื่อว่าต้องรุกให้จบโดยเร็ว แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีคนที่ทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาจัดการเหมือนกัน มันถึงได้บอกว่า สถานการณ์ในช่วงเวลานั้นมันเสี่ยง เหมือนกับว่าพายุใหญ่กำลังจะมาถึงอีกไม่ช้า !!
