
ความจริงเรื่องของการ/ความปรองดอง (reconciliation - หมายถึงทั้งที่เป็นกระบวนการและเป้าหมาย) นั้นก็มีการพูดกันมาสักพักใหญ่แล้ว แต่ผมกลับรู้สึกว่าเราอาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน
แต่ที่เขียนแบบนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า เราต้องมีคำจำกัดความหนึ่งเดียว เพียงแต่อยากจะบอกว่าเราควรจะต้องมีความระแวดระวังว่าเวลาที่เราพูดเรื่องความปรองดองนั้น เราเข้าใจตรงกันแค่ไหน และอะไรคือส่วนที่เราเข้าใจไม่ตรงกัน
สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าเราไม่ได้สนใจเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเชิงวัฒนธรรม ว่าคำว่าปรองดอง ในบริบทวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างไร หรือในเชิงประวัติศาสตร์ (ก็ยังออกมาเถียงกันว่าใครกันแน่ที่อ้างอิงเหตุการณ์ถูก) หรือแม้กระทั่งในวันนี้ (ตกลงการปรองดองคือการช่วยคนคนเดียว หรือการปรองดองคือการจัดการคนคนเดียว)
ในวันนี้ผมก็เลยจะขอนำบางประเด็นในเรื่องความปรองดองที่เขาอภิปรายในบริบทของแอฟริกาใต้ (งานของ Charles Villa-Vicencio. "Reconciliation" ใน Pieces of the Puzzle: Keywords on Reconciliation and Transitional Justice. Cape Town: Institute for Justice and Reconciliation. 2004. ชาร์ลเป็นผู้อำนวยการของสถาบันความยุติธรรมและความปรองดอง) มาคุยให้ฟังสักหน่อย พร้อมทั้งอภิปรายประกอบตามความเห็นของผมในกรณีของสังคมไทย
ประการแรกคือ ความปรองดองกับความยุติธรรมนั้นต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เริ่มจากความเข้าใจก่อนว่า ความปรองดองทางการเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน หากเป็นทางออกที่มีความเป็นไปได้ทางออกเดียวท่ามกลางความรุนแรงที่ดำเนินต่อเนื่องและมีความรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นหนทางที่จะสร้างสังคมที่วางอยู่บนหลักนิติธรรมและการสร้างสังคมขึ้นมาใหม่
(ประเด็นของผมอยู่ที่ว่า สังคมเราคิดหรือยังว่าความปรองดองนั้นเป็นทางออกของเรื่อง หรือความปรองดองเกิดจากฝ่ายที่ชนะในเกมเก่าที่ต้องการหาทางถอย? หรือว่าสังคมยังเชื่อว่าความรุนแรงคือทางออก ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้าง อาทิ รัฐประหาร หรือความรุนแรงจากการล้อมปราบ)
ประการที่สอง สิ่งที่สำคัญก็คือมันเป็นเรื่องเป็นจริงได้ยากหากจะขอให้เหยื่อและผู้ที่รอดมาจากความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ (ผมยังไม่แน่ใจว่าสังคมไทยมองว่าการกระชับพื้นที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่) ที่จะปรองดองหากเราไม่มีความยุติธรรมดำรงอยู่ และในขณะเดียวกัน
ก็จะต้องมีการขยายความเข้าใจว่าด้วยเรื่องความยุติธรรมให้ครอบคลุมถึงการสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างพลเมือง การส่งเสริมวัฒนธรรมเรื่องสิทธิมนุษยชน (มีหรือเปล่า ?) และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นธรรม
ที่หนักกว่านั้นก็คือ ในบรรดาเหยื่อและผู้ที่รอดจากความรุนแรงนั้น จำนวนไม่น้อยก็รู้สึกว่าความยุติธรรมนั้นต้องมาก่อนการ/ความปรองดอง ทีนี้เมื่อมาพูดเรื่องของความขัดแย้งนั้น ก็คงจะต้องเข้าใจว่า ความขัดแย้งนั้นก็มีหลายแบบแตกต่างกันไป และก็ต้องการความปรองดองที่แตกต่างกันไป อย่างในกรณีความขัดแย้งในระดับปัจเจกบุคคลและระดับความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ก็อาจจะต้องเป็นเรื่องของการเยียวยาในแง่ของจิตวิทยาและอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นแผลลึกในจิตใจ
ขณะที่การปรองดองในทางการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่จุดเน้นนั้นแตกต่างออกไป ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเรื่องที่ยากที่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการให้อภัย หรือเป็นเรื่องที่รองลงมาจากความมุ่งมาดปรารถนาและโอกาสในการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างมีความหมายและยั่งยืน
จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่คนหรือกลุ่มคนที่จะปรองดองอย่างลึกซึ้งกับคนหรือกลุ่มอื่นในสังคม ดังนั้นการ/ความปรองดอง จึงไม่ใช้คำตอบสำเร็จรูปและรวดเร็วต่อปัญหาที่ประเทศชาติเผชิญอยู่ และการปรองดองนั้นก็เกี่ยวพันกับความเต็มใจที่จะทำงานร่วมกันของฝ่ายที่เป็นศัตรูกันในการค้นหาทางออกที่ยังไม่มีอยู่ในมือของใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
การ/ความปรองดองจึงเป็นจุดตั้งต้นของความไว้วางใจซึ่งกันและกันของพลเมือง ความเต็มใจที่จะพูดคุยกัน ความสามารถในการฟัง และความพร้อมที่จะเผชิญกับความเสี่ยง ทั้งนี้จะต้องมองว่าความยุติธรรมเป็นเสมือนองค์ประกอบหลักของการตกลงกัน และก็ต้องตระหนักว่ามีหลายหนทางในการเข้าใจและบรรลุซึ่งความยุติธรรม
ในวันพฤหัสบดี เรามาต่อกันเรื่องตัวชี้วัดบางประการในเรื่องของการ/ความปรองดองนะครับ
