
"ความปรองดอง" กลายเป็นเพียงแค่คำสมมุติ คนพูดได้เท่ไปเรียบร้อยแล้ว สภาพที่เห็นในวันนี้คือการยื่นเงื่อนไข จากอ่อนไปหาแข็งเพื่อให้เกิดการยอมรับว่า "ความยุติธรรม" นั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับ ทักษิณ ชินวัตร มาตั้งแต่ต้น
เพราะฉะนั้นถ้ายังยึกยักท้าทาย "เสียงส่วนใหญ่" ก็ไม่มีทางจบ
ยิ่งเมื่อประเมินแล้วว่าตั้งแต่ปีที่เกิด 2496 มาถึงปัจจุบัน สถาบันหลักต่างๆ นับได้ว่าอ่อนแอที่สุดแล้ว ก็ยิ่งทำให้ฮึกเหิมกล้ายื่นเงื่อนไขต่อรอง
หมดเวลาอ่อนข้อ!
ประเมินกันทางยุทธศาสตร์ กองทัพเองในวันนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นอุปสรรคขัดขวาง หากไม่ไปเหยียบตาปลาเข้าให้
การยอมรับกันในกองทัพเมื่ออยู่ในสภาพไร้สงคราม ไม่มี "วีรบุรุษจากชายแดน" การปรับย้ายได้รับตำแหน่งจึงเป็นการปรับตามความใกล้ชิด หรือ "เด็กนายได้ดี" ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
แต่ปัญหามันเกิดขึ้นในสายการบังคับบัญชา ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ฝ่ายการเมืองมองเห็น และหากจำเป็นที่จะหักก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ยุ่งยากนัก
การเดินหน้าเพื่อปรองดองและเรียกร้องความยุติธรรมในแบบของทักษิณ จึงค่อนข้างจะราบรื่นโดยผ่านพิธีกรรม "เสียงข้างมาก" ซึ่งพรรครัฐบาลเองก็พยายามจะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดอยู่แล้ว นั่นหมายความว่าพร้อมจะเดินไปในทิศที่ทักษิณชี้
ในส่วนของ "ศาล" เองก็ถูกมองในมุมใหม่ ว่านั่นก็คือ "คน" คือ "มนุษย์" ที่เปลี่ยนแปลงได้ หาใช่สถาบันที่มักจะมองกันในภาพรวม
หน่วยงานด้านความมั่นคงประเมินว่า หากเหตุการณ์เป็นใจให้เกิดเช่นที่มีการวางแผนกันไว้จริง สภาพบ้านเมืองก็จะยิ่งกว่าปี 2544 ปีแรกที่ทักษิณเริ่มรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ฝ่ายที่คิดต่าง หรือตรวจสอบจะถูกมองว่าเป็นศัตรู
ตัวอย่างที่เห็นและเป็นอยู่คือ กรณีนักข่าวช่อง 7 ที่เจอรูปแบบที่ "เข้าใจกันได้" แต่กฎหมายไม่รับรู้
ความเพียบพร้อมของเงินและอำนาจนั้นประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาท้ายสุดแล้วมักส่งผลในด้านมืดมากกว่าสว่าง
เมื่อสถาบันต่างๆ ในประเทศอ่อนแอ ก็คงจะเหลือแต่ต่างประเทศ ทั้งที่เป็นเพื่อนบ้านและมหามิตรมหาอำนาจ
แต่ชาติเหล่านั้นจะทำได้เพียงแค่ว่า ภายหลังฝุ่นตลบแล้วใครคือผู้ที่ถือธงแห่งชัยชนะ
ใครได้ก็เข้าไปคลอเคลียกับฝ่ายนั้นเพื่อเจรจาผลประโยชน์ของชาติตนว่าจะไม่มีผลกระทบ
ปัญหาก็จะมาตกหนักอยู่ที่บ้านเมือง เพราะหากแผนที่วางเอาไว้เดินไปถึงจุดที่พลิกกลับไปที่เมื่อยังไม่มีการยึดอำนาจในปี 2549 บ้านเมืองก็คงจะขยับไปไหนได้ยาก เพราะยังมีกลุ่มที่ไม่ยอมรับอำนาจรัฐที่ไม่น่าจะเป็นนอมินี หรือกระทั่งทักษิณลงมาเล่นเอง
อย่างที่สถาบันพระปกเกล้าเสนอรายงานเป๊ะ
ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ได้ "ชัยชนะทางการเมือง" อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ไม่ใช่ได้ชัยเพียงแค่จากการเลือกตั้ง
เมื่อยังไม่ได้ชัยชนะทางการเมืองแต่ดันไปเดินหน้าการปรองดองมันจะเกิดผลข้างเคียงที่เป็นผลร้ายต่อชาติบ้านเมืองเสียงมากกว่า
ทักษิณ ในวันนี้เพียงแค่ชนะเลือกตั้ง แต่ถึงกระนั้นอำนาจการปกครองบ้านเมืองก็ไม่ได้อยู่ในมือของตนเอง
คดีความที่ติดตัวจึงยังไม่ถูกเลิก ซ้ำยังถูกตราหน้าว่าขี้ฉ้อ เพราะถูกศาลสั่งยึดทรัพย์
ทั้งการชนะเลือกตั้งก็ไม่ได้จากความศรัทธาเพียงอย่างเดียว หากแต่บางส่วนเลือกเพราะหลงไปว่าจะได้แท็บเล็ต น้ำมันลดกระชากค่าครองชีพ รายได้ขั้นต่ำวันละ 300 ปริญญาตรีเดือนละหมื่นห้า รวมทั้งกองทุนสตรี ซึ่งเมื่อถึงเวลาผู้คนต่างก็รู้ว่า สิ่งเหล่านั้นจ่ายไปด้วยเงินภาษีที่ต้องเจียดจากงบตัวอื่นที่บางตัวจำเป็นมากกว่า
นั่นเป็นแนวทางการปกครองที่หลายคนหวั่นใจ เพราะการปกครองประเทศจะต้องทำให้ประชาชนเข้มแข็ง ไม่ใช่รอรับเศษเนื้อข้างเขียงไปประทังความหิว
ตรงนี้คือแรงต้านที่ทำให้ทักษิณ ยังไม่ได้รับชัยชนะทางการเมืองอย่างแท้จริง
ต่างจากกัมพูชาที่สถาบันพระปกเกล้ายกเอามาเป็นตัวอย่าง
ฮุน เซน อาจเป็นเผด็จการในสายตาของหลายๆ คน แต่บางส่วนนั้นวิธีการที่ฮุน เซนใช้คือสิ่งที่นำไปสู่การปรองดอง
เมื่อได้รับชัยจากการเลือกตั้ง มหกรรมกวาดล้างฝ่ายตรงกันข้าม หรือทำให้อ่อนเปลี้ยเสียขาไม่อาจลุกขึ้นมาต่อกรก็เริ่มขึ้น จนสุดท้ายเขมรก็มีสภาพอย่างในทุกวันนี้ ฮุน เซน คือศูนย์รวม ประเทศก็เริ่มเดินหน้าไปในทางที่เขาต้องการ
ถามว่ามีโอกาสที่บ้านเราจะเกิดสภาพแบบที่เขมรได้ไหม ?
คนที่จะตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็ย่อมต้องเป็นทักษิณ
แต่ดูเหมือนว่าเสียข้างมากที่ได้มา จะทำให้ทักษิณร้อนจนรอไม่ไหวเสียมากกว่า "เงื่อนไข" ถึงได้ออกมาแทบไม่เว้นแต่ละวัน
