มติชน 6 เมษายน 2555 >>>
"มาร์ค" ปูด กมธ. รับต้องตอบโจทย์ "แม้ว"
เมื่อเวลา 23.40 น. วันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระเพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติว่า ความพยายามสร้างความปรองดองชาติ ไม่มีฝ่ายใดผูกขาดได้ ตนสนับสนุนทุกฝ่าย แต่เนื้อหาสาระและกระบวนการปรองดองต้องอยู่บนหลักการอะไร ไม่ใช่การตอบโจทย์คนคนใดหรือกลุ่มกลุ่มใด กระบวนการปรองดองต้องตอบโจทย์ถึงอนาคต ถึงลูกหลาน ระบบที่ดีของประเทศ ที่เราจะไม่ย้อนกลับมาสู่สถานการณ์อย่างนี้อีก เราไม่ได้ได้ดิบได้ดีจากความขัดแย้ง ตนเคยนั่งทั้งข้างบนและข้างล่างในสภา แล้วคนที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งลองไปดู ถ้าไม่มีความขัดแย้งใครจะได้รับปูนบำเน็จ ทั้งเงินทอง ตำแหน่ง และแปลกใจที่คำกล่าวหาตนออกจากปากคนที่ได้ดิบได้ดีที่สุดในช่วงที่ประเทศได้รับความขัดแย้ง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คนในพรรคเพื่อไทยมาพูดกับตนเลยว่า ทำอย่างไรเราจะหยุดพ่อค้าความขัดแย้ง วิจัยพระปกเกล้าที่อ้างรายงาน คอป. เท้าความไปถึงปี 2544 ตั้งแต่คดีซุกหุ้น และยอมรับระบบรัฐสภาจะทำงานได้ต้องใช้เสียงข้างมาก แต่จะเผด็จการหรือไม่ขึ้นกับใช้เสียงนั้นไปทำอะไร ที่จริงไม่เคยมีพรรคไหนได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ แล้วเมื่อเสียงข้างมากบอกว่าจะส่งเรื่องต่อให้รัฐบาล แล้วนายกฯกับ ครม. มาฟังด้วยได้หรือไม่ ไม่ใช่บอกว่ามีสิ่งที่เตรียมไว้แล้ว 6 มาตรา รอเซ็น แล้วส่งสภา ตรงนี้เป็นบทพิสูจน์ว่าใครไม่ปรองดอง
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่เคยใช้เสียงข้างมากมาชี้ว่าควรทำอะไร แล้วช่วงวิกฤตตนบอกว่าทำประชามติแล้วใน 6 ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วตนจะยุบสภา แต่ก็ทราบว่าใครบันดาลใจพรรคฝ่ายค้านในตอนนั้นไม่รับข้อเสนอ เหตุการณ์ปี 2553 จะไม่เกิดถ้าไม่มีกลุ่มติดอาวุธในการชุมนุม ไม่มีใครสั่งฆ่าประชาชน วันที่ 10 เมษายน 2553 รองประธาน กมธ.ปรองดอง ในวันนี้คุยกับรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงในขณะนั้น ก็ปฏิบัติการไปด้วยดี กระทั่งมีการยิงเอ็ม 79 หลังจากนั้นตนก็ปรองดองต่อเนื่อง เดือนพฤษภาคม 2553 ตนเสนอแผนปรองดอง และพร้อมยุบสภา แล้วตนได้ยินกับหูในวันเจรจา มีคนโทร.มาหาแกนนำบอกว่าให้หยุดเถอะ เพราะแกนนำไม่ตาย แต่จะมีคนอื่นตายอีกเยอะ เพราะมีกลุ่มติดอาวุธอยู่ แต่ไม่ยอมหยุด เอาของจริงมาพูดกันไหมว่า มีคนไม่ยอมให้จบ ก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย กระชับพื้นที่
ท้าดวลกัน 2:1 ไม่นิรโทษ "มาร์ค-สุเทพ-แม้ว"
"แล้วผมต้องพูดความจริงว่า มี ส.ส.เพื่อไทย ที่เป็น กมธ.ปรองดอง มาเปิดใจคุยกับผมว่า จำเป็นต้องตอบโจทย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่ตอบโจทย์คุณทักษิณ บ้านเมืองจะปั่นป่วนไม่จบ ผมก็บอกว่าถ้าตอบโจทย์แล้วเสียหลักการหรือไม่ ผมไม่ได้รับอะไรจากการนิรโทษฯ แต่ต้องการให้ลูกหลานอยู่ในบ้านเมืองที่มีขื่อมีแป ที่บอกว่าถ้าจะเอาผิดผู้ก่อการร้ายต้องเอาผิดฆาตกรด้วย ก็ระวังว่าผู้ก่อการร้ายกับฆาตกรจะเป็นคนเดียวกัน การมาท้าทายผมว่า อย่านิรโทษฯให้คน 2 ต่อ 2 ระหว่างผม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ กับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ผมท้าให้ 2 ต่อ 1 เลย คือ อย่านิรโทษฯผม นายสุเทพ และ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างนี้ผมเอา ถ้าจะต้องตอบโจทย์คุณทักษิณด้วย ก็ให้วางให้ประชาชนตัดสินใจ อย่าทำลายระบบประเทศ คดีที่ตัดสินแล้วต้องรับโทษ ส่วนจะน้อยนิดแค่ไหนเชื่อว่าสังคมเข้าใจ แล้วคุณทักษิณต้องมีสิทธิเล่นการเมืองเหมือนคนไทยคนหนึ่งเมื่อมีสิทธิ ห้ามไม่ได้ แต่อย่าลากสภาไปตอบโจทย์คนที่ไม่ปรองดองจริง อย่าให้นายปรองดองถูกลักพาตัวเป็นนายนิรโทษกรรม ถูกปล้น อย่าสร้างปัญหา เงื่อนไขความขัดแย้ง เพราะนั่นไม่ใช่ปรองดอง ดังนั้นถ้ามีความปรองดองที่แท้จริง พวกผมเดินหน้าสนับสนุน" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
"วัฒนา" ยอมรับเป็นมือเจรจาช่วงวิกฤต
จากนั้นนายวัฒนา เมืองสุข กมธ.ปรองดอง ชี้แจงว่า ไม่มีผู้นำคนไหนสั่งฆ่าประชาชน และยอมรับว่าวันที่ 10 เมษายน 2553 คนเป็นคนกลางเจรจาหย่าศึกให้ความสูญเสียน้อยลง ตนไม่เคยพูดที่ไหน ตนได้เจรจากับนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาฯ นายกฯในขณะนั้น ตนยังมีลายเซ็นข้อตกลงที่ตดลงกันไว้ คือตกลงกันไว้ ว่าจะปล่อยแกนนำทุกคน แต่ข้อเท็จจริงถูกบิดเบือนไป ภายหลังมีการปล่อยเพียงบางคน ทำให้แกนนำ นปช. จึงร้องให้นายสุเทพไปมอบตัวบ้าง แล้วเรื่องคณะวิจัยไปสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ตนในฐานะผู้ถูกสัมภาษณ์ได้รับการขอร้องให้ช่วยประสานเรื่องวีซ่าเท่านั้น ยอมรับว่าได้คุยกับนายอภิสิทธิ์เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ แต่คุยในหลักการว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นกระบวนการกฎหมายที่ถูกต้องดีงาม และยืนยันว่าตนมาเป็น กมธ.ปรองดอง ไม่เกี่ยวกับการมีส่วนได้เสีย
"ผมเสียใจที่พรรคการเมืองหนึ่งที่ผมเคยคิดไปสมัครสมาชิกพรรค ในการประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 27 มีนาคม พูดว่า ต่อให้ใข้มาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 ยิงเป้าก็ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นรัฐาธิปัตย์ ผมมีจิตใจสูงส่งพอและวิจารณ์ในหลักการ สังคมไทยควรพอหรือยังกับการมีความสุขบนความหายนะประเทศ ทุกสถานการณ์ย่อมมีคนได้ประโยชน์เสมอ ทั้งเพื่อไทยและ ปชป. มีพ่อค้าเสมอ เพราะในสถานการณ์ปกติคนเหล่านี้ไม่มีที่ยืน แต่เราต้องก้าวข้ามให้ได้ เราขอโอกาสให้เอาหลักการ นิติธรรม กระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องมาดำเนินการ เมื่อถูกต้องแล้วเขาตายก็ตาหลับ ทำไมเราใจแคบ กลัวอะไร” นายวัฒนากล่าว ทำให้ ส.ส.ปชป. รุมประท้วงทันที โดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ปชป. ระบุ นายวัฒนาไม่มีความสง่างามมายืนพูดตรงนี้ เพราะมีส่วนได้เสีย
นายอภิสิทธิ์ตอบโต้ว่า การเจรจาขอประกันตัวเป็นสิทธิ แต่เป็นดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ในการให้ประกันตัวแกนนำฮาร์ดคอร์หรือไม่ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่ แล้วหลักนิติธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นคือการตัดสินของศาล หรือเพราะไม่ถูกใจ แล้วถ้ากลับเข้ากระบวนการยุติธรรมปกติ ถ้าศาลตัดสินว่าผิดอีก จะว่าอย่างไร ดังนั้น วันนี้จะพิสูจน์ว่าจะอ้างเสียงข้างมาก หรือถ้าอ้างสถาบันพระปกเกล้า ก็ทำตามแถลงการณ์ด้วย พวกตนจะไม่มีปัญหาเลย
จากนั้นเวลา 01.10 น. วันที่ 6 เมษายน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา หารือถึงการปิดอภิปรายและลงมติรับทราบร่างรายงาน กมธ.ปรองดอง อย่างไรก็ตาม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน สอบถามว่าขั้นสุดท้ายแล้วจะดำเนินการอย่างไรกับรายงาน กมธ.ปรองดองนี้ และถ้าสภาเห็นชอบ ก็จะมีผลให้ส่งรายงานไปยังรัฐบาลตามข้อบังคับข้อที่ 97 วรรค 3 หากสภาเห็นชอบก็ให้ส่งไปยังครม. จึงจะเป็นการส่งรายงานที่มีข้อกังขาไปยัง ครม. หรือประธานสภาจะขอให้ที่ประชุมเห็นชอบตามแถลงการณ์พระปกเกล้าที่เสนอมา 3 ประการคือ
1. ให้ที่ประชุมรับทราบไว้ชั้นหนึ่งก่อน
2. ให้สภาขยายอายุ กมธ.ปรองดอง ออกไปอย่าน้อยสิ้นสมัยประชุมหน้า และ
3. ระหว่างนั้นให้สถาบันพระปกเกล้าจัดให้มีการสานเสวนาทั่วประเทศ
ซึ่ง ปชป.เห็นด้วยกับแนวทางสถาบันพระปกเกล้า และไม่เห็นชอบกับการส่งรายงานให้รัฐบาล เพราะ
1. เนื่องจากรายงานมีข้อเคลือบแคลงสงสัยว่ารัฐบาลอาจหยิบยกบางประเด็นเช่นยกเลิกคดี คตส. นิรโทษกรรมคนใดคนหนึ่งหลายเป็นชนวนแตกแยก
2. หากสภาเห็นชอบส่งรัฐบาล จะเป็นความเริ่มต้นความขัดแย้งคู่ใหม่ ระหว่างสถาบันพระปกเกล้ากับเสียงข้างมากที่เห็นชอบ แล้วจะเดินหน้าสู่ปรองดองได้อย่างไร นับหนึ่งก็ขัดแย้งขึ้นแล้ว อีกทั้งสถาบันพระปกเกล้าได้มีมติชัดจน ถ้ามีมติส่งให้รัฐบาล จะถอนวิจัยคืน โดยระบุ ในแถลงการณ์ว่า จะนำไปสู่สงครามความปรองดอง และสถาปนาความยุติธรรมของผู้ชนะขึ้น และ
3. ถ้ามีการถอนวิจัย แล้วสภาจะส่งอะไรไปให้รัฐบาล เพราะแทบไม่เหลืออะไรเลย
นายสมศักดิ์ชี้แจงว่า สำหรับรายงานคงไม่ต้องขอมติที่ประชุมเพราะเป็นเรื่องรับทราบ ส่วนข้อสังเกต กมธ. ขึ้นกับ กมธ. ว่าจะเสนออย่างไร ถ้า กมธ. เห็นว่าถอนก็ไม่มีอะไร แต่ถ้า กมธ. ยืนยัน ก็ต้องขอมติ
"บิ๊กบัง" ยันรายงานไม่เถื่อน เป็นประโยชน์
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน กมธ.ปรองดอง ชี้แจงทิ้งท้ายว่า ต้องขอขอบคุณทั้งผู้นำฝ่ายค้านและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ตนอยากเรียนว่าในการศึกษาวิจัยเรื่องปรองดองทุกขั้นตอนของ กมธ. ยืนยันอีกครั้งว่าเราทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อประโยชน์ปรองดองอย่างดียิ่ง เมื่อไม่กี่วันมานี้ ตนเดินไปลานพระบรมรูปทรงม้าซึ่งเป็นงานกาชาด ฝนตกพอดี ด้วยความตกใจก็หุบร่มแหงนมองขึ้นไปเห็นพระพักตร์ นึกถึงสมัยเรียนว่าเราปฏิญาณตนเสมอว่าจะสละชีวิตเพื่อแผ่นดิน ทำให้นึกว่าวันนี้เราคนไทยได้นึกถึงพระองค์ท่านหรือไม่ ตนจะทำอะไรก็ตาม มีเจตนาดีกับบ้านเมืองทั้งสิ้น ทราบดีว่าตนมาทำหน้าที่ตรงนี้เหนื่อยและเจ็บขนาดไหน เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา หลายคนบอกให้ตนยิ้ม และทุกคนได้สร้างความแข็งแกร่งให้ผู้อาวุโสอย่างตนอีกครั้ง
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า แล้วถ้ารัฐบาลทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรองโดยไม่ฟังข้อคิดเห็นเสนอแนะของใครก็ตามที่ส่งไปรัฐบาลก็อยู่ลำบาก เหมือนฟิลิปปินส์ที่เกิดปฏิวัติประชาชน ดังนั้น ในการเสนอรายงาน กมธ. ก็จะแนบแถลงการณ์พระปกเกล้าไปด้วย โดยข้อความในตอนท้ายที่เคยระบุว่า โปรดเสนอแนะแก่ ครม. เพื่อดำเนินการด้วย ก็จะแก้เป็น จะดำเนินการอย่างไรแล้วแต่พิจารณา ยืนยันว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ไม่ต้องกังวลสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากผลวิจัย ยืนยันว่าเอกสารนี้ไม่เถื่อน
"จุรินทร์" ลั่นไม่วอล์กเอาต์ แต่ไม่ขอลงมติใดๆ
จากนั้น นายจุรินทร์แย้งว่า ไม่ว่าจะรับรองอย่างไร รัฐบาลก็สามารถหยิบยกในบางประเด็นของรายงานนี้ไปใช้เอื้อประโยชน์ให้คนคนเดียว น่าเสียดายที่สถาบันพระปกเกล้าได้ชี้ทางสวรรค์ให้แล้ว แต่ไม่มีประโยชน์ วันนี้พวกตนจะไม่เดินออก จะอยู่จนจบ แต่จะไม่ลงมติใดๆ เพราะจะเป็นความยุติธรรมของผู้ชนะ แล้วเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
ที่ประชุมเห็นชอบ 307 เสียง ส่ง ครม.
นายสมศักดิ์ตัดบทแจ้งที่ประชุมรับทราบรายงานเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะสั่งให้ที่ประชุมลงมติรับทราบข้อสังเกตรายงาน กมธ. ที่จะส่งไปยัง ครม. โดยที่ประชุมมีมติเห็นด้วยในการส่งข้อสังเกต กมธ. ให้ ครม. 307 เสียง งดออกเสียง 2 เสียงและไม่ลงคะแนน 3 เสียง จากองค์ประชุม 312 เสียง โดยสมาชิก ปชป.ที่อยู่ในห้องประชุมด้วยไม่กดปุ่มใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ตามข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 97 นอกจากระบุเรื่องการส่งข้อสังเกต กมธ. ให้กับ ครม. แล้ว ยังระบุเมื่อพ้นระยะเวลา 60 วัน นับแต่วันที่ประธานสภาส่งข้อสังเกต กมธ. ให้ ครม. รับทราบ โดย ครม. ได้ปฏิบัติข้อสังเกตนั้นประการใด ให้ประธานสภาแจ้งให้ที่ประชุมทราบในโอกาสแรกที่มีการประชุม ก่อนจะปิดประชุมในเวลา 01.50 น. รวมการพิจารณายาวนาน 2 วัน กว่า 21 ชั่วโมง