โดย ธิดา ถาวรเศรษฐ ....

การต่อสู้ของประชาชนตั้งแต่ต้นคือการต่อสู้เพื่อให้การเมืองการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง มิใช่เพียงให้พรรคการเมืองที่ร่วมต่อสู้กับประชาชนได้เป็นรัฐบาลแล้วถือว่าได้รับชัยชนะ ภารกิจของประชาชนจบแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องของรัฐบาลและพรรคการเมืองในรัฐสภาเท่านั้น
นปช.แดงทั้งแผ่นดินและคนเสื้อแดงเป็นองค์กรและขบวนการต่อสู้ของประชาชน ที่มีจุดเริ่มต้นจากการต่อสู้กับการรัฐประหารที่เราถือว่าเป็นการปล้นอำนาจจากประชาชน ดังนั้น การล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะด้วยการเลือกตั้งใหม่จากคำขวัญการต่อสู้ “ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน” พบว่าทฤษฎีสองขาตามยุทธศาสตร์ นปช. ก็ดำเนินไปด้วยดี เพราะสอดคล้องกันกับความเรียกร้องของ สส. อดีต สส. ทั้งหลายของพรรคเพื่อไทย ผ่านการเสียสละชีวิตของประชาชนร่วมร้อยคน บาดเจ็บกว่าสองพันคน และถูกจับกุมคุมขังนับพันคนต้องหลบหนี การได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนจึงเป็นก้าวแรกของชัยชนะของประชาชนหลังจากต่อสู้มา 5 ปี ก้าวต่อมาซึ่งเป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ เป้าหมายการต่อสู้จึงอยู่ที่กฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมต่าง ๆ นี่จึงเป็นเรื่องการต่อเนื่องของการต่อสู้ของประชาชนที่สู้เพื่อให้ได้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่ต่อสู้เพียงเพื่อให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล
คนในพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งอาจถือว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของพรรคเท่านั้น เพราะมองไม่เห็นการต่อสู้ของประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมทางการเมืองการปกครองที่อยู่ภายใต้การควบคุม ครอบครองของระบอบอำมาตยาธิปไตยให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง และคนในพรรคเพื่อไทยบางคน บางกลุ่ม ก็มุ่งหวังใช้ขบวนการเสื้อแดงให้เป็นแค่ฐานเสียง ให้แกนนำเป็นหัวคะแนนและเป็นมวลชนที่คอยปกป้องหากมีการรัฐประหารเท่านั้น ! แต่ในความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคนเสื้อแดงมีหลักนโยบายในการต่อสู้ชุดใหญ่ ที่กำหนดขั้นตอนการต่อสู้ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีไว้ ถ้าเปิดโรงเรียนใหม่เที่ยวนี้ เราก็จะทำการสรุปบทเรียนครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ในขณะที่เริ่มแรกบางคนในพรรคเพื่อไทยไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญเพราะกลัวการคัดค้านจากเครือข่ายอำมาตย์ พูดแบบเดียวกับคุณสมัครที่บอกว่าจะแก้รัฐธรรมนูญเมื่อ 3 เดือนสุดท้ายก่อนครบวาระ แต่ฝ่ายประชาชนหลังผ่านมหาอุทกภัยไปแล้ว หลังปีใหม่เราก็เดินเครื่องทันที คือร่างหลักการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 เพื่อให้ได้ สสร. จากการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด 100 คนทันที ในขณะที่ทางพรรคก็เสนอรูปแบบที่มาของ สสร. เหมือนวุฒิสมาชิกปี 2550 คือ สสร. จังหวัดละ 1 คนแล้วสรรหาจากนักวิชาการที่เสนอจากมหาวิทยาลัย องค์กรภาคเอกชน สภาอาชีพ ฯลฯ อีก 22 คน
จึงเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นว่า พรรคก็ทำส่วนพรรค ประชาชนก็ทำส่วนภาคประชาชน ปรากฎว่าภาคประชาชนทุกร่างตรงกันคือ ให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แล้วประชาธิปัตย์ก็มาโดยสารในกลุ่มนี้ โดยขอให้ได้ สสร. 200 คน จากการเลือกตั้ง เพราะหวังจะได้ฐานเสียงระดับรองเข้ามาเป็น สสร. ด้วย
นี่ชี้ให้เห็นว่า นักการเมืองมุ่งคิดเรื่องฐานเสียงและอำนาจชี้นำการเขียนรัฐธรรมนูญ
แต่ภาคประชาชนมุ่งจะให้รัฐธรรมนูญเป็นของประชาชนโดยกระบวนการที่มาของ สสร. ต้องชอบธรรม โปร่งใส ให้ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับกระบวนการได้โดยไม่อาจโต้แย้ง เป็นการเริ่มต้นที่ดีก็มีชัยชนะครึ่งหนึ่งแล้ว
เอาเป็นว่าคนเสื้อแดงทุกคนรู้ว่า หลังจากยุบสภา ผ่านการเลือกตั้ง ได้รัฐบาลของประชาชนแล้ว เราก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อให้ได้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นของประชาชนและต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีกว่า 2550 แน่นอน
งานชุมนุมที่โบนันซ่า เขาใหญ่ เรามีคำขวัญว่า “หยุดรัฐประหาร เปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ” เป็นฉันทามติของคนเสื้อแดงมากันหลายแสนคนเต็มภูเขาเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ แม้แต่งานในจังหวัดนนทบุรีชุมนุมเสื้อแดงนับหมื่นคนก็ใช้คำขวัญ “สายสัมพันธ์ร่วมใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราคือทัพหน้า” บางที่ก็ใช้ “รวมพลคนรักประชาธิปไตย แก้ไขรัฐธรรมนูญ” บ่งบอกถึงเจตนารมณ์คนเสื้อแดงทั้งประเทศ และแน่นอน คนเสื้อแดงกับประชาชนทั่วไปรวมทั้งนักวิชาการของประชาชนก็ตั้งใจลงสมัครเพื่อได้รับเลือกเป็น สสร. กัน แต่ก็มี สส. บางท่านดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขมาตรา 291 โดยถือเป็นการทำในนามประชาชนด้วย แต่รายละเอียดเหมือนฉบับของพรรค ก็หมายความว่าทางพรรคคิดเผื่อให้ สส. ทำร่างในนามของประชาชน ก็ทำได้ แต่อาจคิดไม่ถึงว่า นปช. ก็นำเสนอร่างอยู่ดี แม้จะทำยากลำบากขึ้นบ้าง เพราะคนเสื้อแดงสับสนว่าร่างไหนเป็นร่างของ นปช. เราคิดล่วงหน้าแล้วจึงต้องใส่เครื่องหมายสัญลักษณ์ นปช. ที่หัวกระดาษแบบฟอร์มของแก้ไขร่าง ก็ไม่เป็นไร นปช. ก็นำเสนอร่างจนได้ โดยมีเป้าหมายคือให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของพรรคเพื่อไทยหรือของคนเสื้อแดง ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาในใจประชาชนว่า นี่เป็นเรื่องทีใครทีมัน กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญจึงสำคัญเพื่อให้ได้ความเชื่อมั่นและประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญ ทำให้การคัดค้านต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่มีเหตุผลในสายตาประชาชน และประชาชนจะพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญไม่ให้ถูกฉีกโดยคณะรัฐประหารอีกต่อไป เพราะผลสัมฤทธิ์การมีรัฐธรรมนูญที่ดี แต่ขาดความเป็นเจ้าของของประชาชนอย่างจริงจัง ก็จะไม่อาจรักษารัฐธรรมนูญที่ดีไว้ได้ดังเช่นรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2489, พ.ศ. 2517 และ พ.ศ. 2540 และถ้าเริ่มต้นให้ประชาชนมีบทบาทมากเท่าใด ก็จะเป็นย่างก้าวสู่อนาคตที่ดีของประเทศได้ ดังนั้นร่าง นปช. จึงให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งโดยตรง โดยคำนึงถึงสัดส่วนประชากรในแต่ละจังหวัด มี สสร. อย่างต่ำจังหวัดละ 1 คน กทม.ก็จะมี สสร. 8 คน นครราชสีมามี 4 คน เป็นต้น และเปิดโอกาสให้คนมีสิทธิ์สมัคร สสร. ได้กว้างขวางที่สุดไม่จำกัดกลุ่มคนด้วยวัยวุฒิการศึกษา, คุณวุฒิ และการอยู่ในพื้นที่เลือกตั้งเพียง 1 ปี
ถ้าเราต้องการรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย กระบวนการได้รัฐธรรมนูญก็ต้องเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าคิดแบบอนุรักษ์นิยมก็ต้องมีอรหันต์ผู้ทรงคุณวุฒิมาร่าง โดยมีอำนาจเหนือ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะเป็นทั้ง สสร. และผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้รู้ดี) คำถามคือ ทำไมคนเหล่านี้ไม่ลงเลือกตั้ง สสร. เสียล่ะ จะได้เป็น สสร. เต็มภาคภูมิ มิใช่เป็นคนที่จะถูกสังคมจ้องจับผิดว่านี่เป็น “คนของคุณทักษิณ” ทั้งหมด แล้วสุดท้ายจะได้รัฐธรรมนูญแบบที่พรรคเพื่อไทยต้องการ หรือไม่ ยังน่าสงสัยเพราะจะได้คนแบบไหนมาร่างรัฐธรรมนูญ เพราะต้นธารความคิดของนักวิชาการไปอยู่ที่หน่วยงานอำมาตย์ที่กำลังขยายบทบาทคือสำนักงานตรวจการแผ่นดิน ที่กำลังตรวจจริยธรรมนักการเมืองเข้มข้น เข้มแข็ง และกำลังเป็นทัพใหญ่ ทัพหน้าที่จะมาจัดการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550
ยังไม่รู้อนาคตการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นฉันใด ถ้าหลุดจากมือประชาชนไปอยู่ที่นักการเมือง สองขั้วที่มี กองกำลังอำมาตย์ จัดทัพต่อต้านพร้อมสรรพ ทั้งองค์กรอิสระ, ฝ่ายตุลาการ, นักวิชาการอนุรักษ์นิยม และกองกำลังมวลชนอนุรักษ์นิยมที่ประกาศว่า พวกตนเป็นฝ่ายคุณธรรมพร้อมต่อสู้กับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ 2550 ที่พวกเขาลงทุนทำรัฐประหาร และใช้ต้นทุนทางสังคมไปจนหมดสิ้น ประเทศไทยเสียหายยับเยิน จึงหวงแหนรัฐธรรมนูญ 2550 มาก แน่นอน เขาต้องใช้ความพยายามเต็มกำลังในการสร้างอุปสรรค ! ไม่ให้เปลี่ยนแปลง