โดย ธิดา ถาวรเศรษฐ ....
ผู้เขียนไปประเทศกัมพูชา 2 ครั้ง ครั้งแรกคือ วันที่ 16 กันยายน 2554 เพื่อเตรียมงาน แล้วกลับวันที่ 18 กันยายน 2554 มาจัดเวทีปราศรัย ในวาระครบรอบ 5 ปีรัฐประหาร 19 กันยา 49 จาก นั้นไปอีกครั้ง ในวันที่ 23 กันยายน 2554 แล้วกลับ วันที่ 25 กันยายน 2554
ทั้งสองครั้งที่ไป ได้ความประทับใจทั้งสองครั้ง ไปครั้งแรกประทับใจการต้อนรับที่ให้เกียรติสูงสุดแก่คณะของเรา โดยสมเด็จฮุนเซนพร้อมคณะรัฐมนตรีที่เปิดทำเนียบต้อนรับเป็นทางการ เรานั่งตรงข้ามกับสมเด็จฮุนเซนที่ขนาบซ้ายขวามี ท่านซกอาน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศอยู่ทางด้านซ้ายมือ ท่านเตียบัณฑ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมอยู่ทางด้านขวามือ ถัดไปก็จะเป็นคณะรัฐมนตรีท่านอื่น และบุคคลสำคัญในรัฐบาลท่านฮุนเซนอย่างครบครัน
ในขณะที่ฝั่งเสื้อแดง มีผู้เขียน คุณจตุพร พรหมพันธุ์ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คุณก่อแก้ว พิกุลทอง คุณหมอเหวง โตจิราการ และแกนนำท่านอื่นๆพร้อมทั้งผู้ร่วมคณะเช่น อดีตรัฐมนตรี สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อาจารย์สุชาติ ธาดาธำรงเวช คณะเราจำนวนมากหน่อยเพราะขอเพิ่มจำนวนถึง2ครั้ง
ในการกล่าวแลกเปลี่ยน กัน ผู้เขียนได้กล่าวขอบคุณ สมเด็จฮุนเซนและคณะ รวมทั้งประชาชนกัมพูชาที่ให้เกียรติคณะเราสูงสุดในนามของประชาชนไทยและคน เสื้อแดง และถือว่า นี่เป็นมิติใหม่ของการเกิดสันถวไมตรีระหว่างประเทศโดยคณะประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ที่เป็นองค์กรประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและถูกปราบปรามจับกุมคุมขัง เข่นฆ่ามาได้ปีกว่าๆ
เรื่องอย่างนี้ ผู้เขียนยังไม่พบว่ามีในประเทศใด
แต่ การใช้การกีฬาเป็นทูตสันถวไมตรี เคยมีมาแล้ว เช่น ปิงปองระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนคอมมิวนิสต์ในช่วงเริ่มความสัมพันธ์ ใหม่ ภายหลังจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจีนเป็นสังคมนิยม แต่ก็ไปในนาม รัฐต่อรัฐ
แต่ของเราครั้งนี้ เป็นไประหว่างรัฐอย่างไม่เป็นทางการกับองค์กรประชาชนของอีกประเทศ จึงเป็นเรื่องแปลกใหม่ของสังคมโลกเลยทีเดียว
ผู้ เขียนได้กล่าวอีกตอนว่า ระหว่างประชาชนต่อประชาชนนั้น ไม่มีประชาชนประเทศใดต้องการสงคราม มีแต่ผู้ปกครองบางคนบางยุคที่ต้องการทำสงคราม ประชาชนล้วนต้องการสันติภาพ ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจและหลีกหนีจากความยากจนด้วยกันทั้งนั้น ต้องการการค้าขาย ต้องการการไปมาหาสู่กัน รื่นริง มีการละเล่นร่วมกัน และความมั่นคงของแต่ละประเทศก็คือ ความสุขของประชาชนภายในประเทศนั้นๆ
ประชาชน ทุกประเทศไม่ต้องการสงคราม แต่ต้องการสันติภาพ มีแต่ผู้ปกครองบางคน บางยุคเท่านั้นที่ต้องการสงคราม เพื่ออ้างเป็นเงื่อนไขสร้างความสามัคคีแบบคลั่งชาติภายในประเทศ หรือต้องการขยายอาณาจักรเพื่อขยายอำนาจการปกครอง
ส่วนฝั่งกัมพูชามีผู้ กล่าวอยู่ท่านเดียว คือ ท่านสมเด็จฮุนเซน(ของฝั่งไทยได้กล่าว 4 - 5 คน) ท่านกล่าวแสดงความยินดีที่เราผ่านเวลาทุกข์ยากลำบากจนผ่านการเลือกตั้ง แล้วฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งมาได้
ท่านให้ความสำคัญ กับการต่อสู้ของประชาชนและเป็นกำลังใจให้กับคนเสื้อแดง และยินดีจะจัดการแข่งขันฟุตบอลร่วม กันในวันที่ 24 กันยายน 2554 สนทนากันนานพอสมควร ด้วยความอบอุ่นในมิตรภาพ ก็ออกมาถ่ายรูปร่วมกัน ดังภาพที่เห็นประกอบบทความนี้ ก่อนออกมาท่านก็แจกของที่ระลึกให้ทุกคน โดยเดินไปมอบให้ด้วยตนเอง รอบโต๊ะยาว
ในวันที่ 18 กันยายน 2554 ตอนกลางวัน คณะเราได้รับเลี้ยงจากนายพลสี่ดาว เสาร์ สุขขะ ผู้มีประวัติการรบอันโชกโชน และในปัจจุบันเป็นรองผู้บัญชาการท หารสูงสุด จัดเลี้ยงอาหารเกาหลี และชนแก้ว หมด แก้วต่อแก้ว จนถึงสนามบิน และส่งถึงประตูเครื่องบิน บางคน คอพลิ้วไหวเป็นเถาไม้เลื้อย
และทุกวัน ก็จะมีเลขานุการส่วนตัว ท่านเกรียง ฮวด ดูแลเป็นอย่างดี นี่ยังไม่ได้พูดถึง นายพล และเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากที่ติดตามช่วยเหลือดูแล
เมื่อกลับไป จัดงานฟุตบอล เพื่อสันติภาพระหว่างประเทศของประชาชน ก็ได้ความประทับใจกับภาพที่เห็นในวันงาน ตั้งแต่กองเชียร์คนเสื้อแดง หลายพันคน ที่เคลื่อนขบวนเข้าสู่กรุงพนมเป็ญ ไปพบกันที่ตลาดก็ดีใจมาก รุมกันเข้ามาขอถ่ายรูปทั้งข้างถนน ตามทางเดินแคบๆในตลาด กลุ้มรุมกันอย่างชื่นใจ ไม่เป็นอันซื้อของ แต่ก็ปลาบปลื้มใจที่ได้พบปะถ่ายรูปสนทนากัน
เมื่อเข้าไปในสนามโอลิมปิก ก็เห็นกองเชียร์แดงพรึบเต็มสนาม และรู้ว่ายังมาไม่ทันงานเป็นจำนวนมาก เพราะไม่มีพาสปอร์ต หรือเดินทางผ่านเส้นที่มีน้ำท่วม ถนนขาด ยากลำบากมาก รวมจำนวนนับพันคน ที่ติดอยู่ชายแดน และเดินทางยังมาไม่ถึงสนามฟุตบอลทันเวลา
ส่วนนักกีฬาฟุตบอล ก็ผสมไทย-กัมพูชาอย่างละครึ่งทั้งสองทีม ท่านฮุนเซนเป็นหัวหน้าทีมเสื้อแดง อดีตนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นหัวหน้าทีมน้ำเงิน และมีท่านเฮงสัมริน ประธานรัฐสภาเป็นกัปตันทีมสีน้ำเงิน ส่วน ณัฐวุฒิ จตุพร หมอเหวง สุภรณ์อยู่ทีมแดง,วรชัยเหมะ วรวุฒิวิชัยดิษฐ พตต.ไวพจน์อาภรณ์รัตน์ อยู่ทีมน้ำเงิน แกนนำคนอื่นๆก็สลับกันเข้ามาคนละ 10 นาทีบ้าง 20 นาทีบ้าง
ฝั่ง กัมพูชาน่าประทับใจที่ให้คนสำคัญและบุตรชาย บุตรเขยสมเด็จฮุนเซน ลงเล่นกันหมด รวมทั้งคุณเกรียงฮวดและนายพลเสาสุขขะด้วย นายพลคนนี้นอกจากร้องเพลงเก่ง ดื่มเก่ง ชอบเต้นชอบรำ สนุกสนานรื่นเริง ยังเล่นฟุตบอลเก่ง สมกับเป็นประธานฟุตบอล
เกมนี้สนุกมาก ที่ลุ้นให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายได้ยิงประตูโดยแต่ละคนทั้งสองข้างจะหยุดรอ ให้ได้ยิงประตู พอยิงเข้าก็เฮกันทั้งกองเชียร์ไทยและกัมพูชา จนล้มกลิ้งกันจริงๆ สนุกสนานกันทั้งคนเล่นคนดู สถานีโทรทัศน์กัมพูชาได้ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลมิตรภาพครั้งนี้ให้ ประชาชนได้ดูหลายช่อง
การแสดงชุดต่างๆก็น่าชมและยิ่งใหญ่ ทำให้มองได้ว่าฟุตบอลสันติภาพของประชาชนครั้งนี้ไม่กระจอกอย่างที่ฝ่ายตรง ข้ามหยัน จบเกมแล้ว ตามธรรมชาติของคนเสื้อแดงก็จะพากันลงมาถ่ายรูปเต็มสนาม ตามธรรมเนียมของคนเสื้อแดงที่มีความสุขกับการถ่ายรูปกับแกนนำไว้เป็นที่ ระลึก
ตกกลางคืน มีงานเลี้ยงในโรงแรมแคมโบเดียน่า ท่านสมชายหัวหน้าคณะฟุตบอลติดภาระกิจสำคัญในตอนแรก ท่านมาร่วมในตอนท้ายงาน ผู้เขียนจึงทำหน้าที่กล่าวขอบคุณเจ้า ภาพกัมพูชา คือสมเด็จฮุนเซน และผู้มีเกียรติซึ่งก็คือ ผู้ว่าราชการกรุงพนมเป็ญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา และวัฒนธรรมฯลฯ พร้อมทั้งรำวง ร้องเพลงกันจนดึกดื่น
นี่แหละประชาชนสองประเทศ สามัคคีกันสร้างความเจริญ สามัคคีกันสร้างความผาสุข สามัคคีกันสนุกสนาน ดื่มกินกัน ดีกว่าหาเรื่องรบราฆ่าฟันกันเป็นไหนๆ
อารยชนใช้การเจรจาบน พื้นฐานงานการเมืองระหว่างประเทศที่สร้างสรรค์ ย่อมประสบความสำเร็จด้วยกัน แต่ถ้าใช้วิถีทางการทหาร บนพื้นฐานความคลั่งชาติ และหลงอำนาจของผุ้ปกครองก็จะนำไปสู่ความล้มเหลว สูญเสีย ด้วยกันทั้งหมด
ไม่มีประชาชนประเทศไหนต้องการสงคราม
ประชาชนล้วนต้องการสันติภาพที่สร้างสรรค์ทั้งสิ้น