จนท.ยิง6ศพวัดปทุม : ดีเอสไอยันศาล ส่องบนบีทีเอส ในแนวราบก็มี

ข่าวสดออนไลน์
21 มิถุนายน 56

จนท.ยิง6ศพวัดปทุม

ดีเอสไอยันศาล ส่องบนบีทีเอส ในแนวราบก็มี

"ดี เอสไอ" เบิกความศาลไต่ สวนการตาย 6 ศพวัดปทุมฯ ยืนยันพบปลอกและกระสุนปืนเอ็ม 16 บนรางรถไฟฟ้า จากพยานหลักฐานสรุปว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งเจ้าหน้าที่บนราง 8 นาย มี 5 นายยอมรับยิงใส่กุฏิ กำแพงวัด ตอม่อสะพาน รถยนต์และถนนในวัด ศพ "น้องเกด" ถูกยิงจากเจ้าหน้าที่บนราง อีกศพถูกยิงจากเจ้าหน้าที่แนวราบ ทั้งผู้ตายและผู้เจ็บไม่มีอาวุธ นอกจากเจ้าหน้าที่แล้วไม่มีใครเข้าออกจุดเกิดเหตุได้ "ณัฐวุฒิ" เบิกความย้ำ ผู้ชุมนุมไม่พกอาวุธ ด้านหลังเวทีก็ไม่ซุกซ่อนอาวุธ เพราะมีตร.ตั้งด่านตรวจป้องกัน ผู้ตาย-เจ็บแต่ละรายล้วนมีประวัติและครอบครัวที่ตรวจสอบได้ ไม่มีความสามารถใช้อาวุธสงคราม

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพคดีที่พนักงานอัยการยื่นคำร้อง ขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของนายสุวัน ศรีรักษา อายุ 30 ปี อาชีพเกษตรกร ผู้เสียชีวิตที่ 1 นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้เสียชีวิตที่ 2 นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผู้เสียชีวิตที่ 3 นายรพ สุขสถิต อายุ 66 ปี อาชีพพนักงานขับรถรับจ้างในสนามบิน ผู้เสียชีวิตที่ 4 น.ส.กมนเกด อัคฮาด อายุ 25 ปี อาสาพยาบาล ผู้เสียชีวิตที่ 5 และนายอัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้างและอาสาพยาบาล ผู้เสียชีวิตที่ 6 ทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553

โดยอัยการนำพยานเข้าเบิกความ 4 ปาก คือ พ.ต.ท.ธรนินทร์ คลังทอง ข้าราชการบำนาญ อดีตพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พ.ต.ต.ปกรณ์ วะศินรัตน์ นายแพทย์ (สบ3) สถาบันนิติเวชวิทยา ร.พ.ตำรวจ และพ.ต.อ.ปรีดา สถาวร ผกก.กลุ่มงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล สำนัก งานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พ.ต.ท.ธรนินทร์เบิกความโดยสรุปว่า วันที่ 1 ก.ย.2553 ได้รับคำสั่งจากดีเอสไอให้สืบสวนสอบสวนสำนวนคดี 6 ศพในวัดปทุมฯ และเริ่มสืบสวนสอบสวนตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.2553 โดยสอบปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ถ่ายคลิปวิดีโอจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 นาย นายสตีฟ ทิกเนอร์ ช่างภาพและนักข่าวชาวออสเตรเลีย พยานในวัดปทุมฯ 4-5 คน และเจ้าหน้าที่ที่ประจำการอยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ ในวันเกิดเหตุอีก 8 นาย นอกจากนี้ยังลงพื้นที่ไปตรวจบนรางรถไฟฟ้า ร่วมกับเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ด้วย

พยานเบิกความต่อว่า จากการตรวจสอบบนรางรถไฟฟ้าพบกระสุนปืนขนาด 5.56 ม.ม. 1 นัด ปลอกกระสุนขนาดเดียวกัน 2 ปลอก ขวดน้ำดื่ม ขวดเครื่องดื่มชูกำลังอย่างละ 1 ขวด และเบียร์ 1 กระป๋อง จึงให้เจ้าหน้าที่นิติ วิทยาศาสตร์ไปตรวจสอบ พยานสังเกตว่ากระสุนปืนที่พบมีหัวสีเขียว เป็นกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. แบบเอ็ม 885 ซึ่งใช้กับปืนเอ็ม 16 ชนิด เอ 2, เอ 4, เอ็ม 4, เอ็ม 4 เอ 1 และปืนทาโวร์ จากการสอบปากคำพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าระบุว่าใช้ปืนเอ็ม 16 ชนิด เอ 2 และเอ 4 ในการปฏิบัติหน้าที่ จากการสอบสวนพยานและหลักฐานทั้งหมดจึงสรุปสำนวนว่า เป็นการตายที่เกิดจากการ กระทำของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตามหน้าที่ และส่งสำนวนให้สน.ปทุมวัน พื้นที่เกิดเหตุดำเนินการต่อไป

ทนายความญาติผู้ตายถามถึงลักษณะการเสียชีวิตของ 6 ศพ พ.ต.ท.ธรนินทร์เบิกความว่า ทั้ง 6 ศพถูกยิงด้วยกระสุนปืน นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 5 คน ถูกยิงเช่นกัน โดยมี 2 รายถูกยิงขณะหลบอยู่ใต้รถในวัดปทุมฯ อีกรายถูกยิงบริเวณประตูทางออกวัดปทุมฯ และมี 2 รายยืนยันว่าถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่บนรางรถไฟฟ้า ขณะที่การสอบปากคำเจ้าหน้าที่บนรางรถไฟฟ้า 8 นาย มี 5 นายให้การว่าใช้อาวุธปืนยิง โดยเจ้าหน้าที่นายที่ 1 ยิงไปที่ตอม่อรถไฟฟ้าบริเวณแยกเฉลิมเผ่า 7 นัด ยิงไปที่กุฏิข้างกำแพงวัดด้านศูนย์การค้าสยามพารากอน 1 นัด เจ้าหน้าที่นายที่ 2 ยิงที่ตอม่อรถไฟฟ้าบริเวณแยกเฉลิมเผ่า 2 นัด เจ้าหน้าที่นายที่ 3 ยิงรถยนต์ในวัดปทุมฯ 2 นัด และถนนในวัด 1 นัด เจ้าหน้าที่นายที่ 5 ยิงที่สะพานลอยคนข้ามหน้าวัดปทุมฯ 4 นัด และเจ้าหน้าที่นายที่ 5 ยิงที่กำแพงวัดด้านนอก 1 นัด

ทนายญาติผู้ตายถามต่อว่า ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดจึงต้องมีเจ้าหน้าที่อยู่บนรางรถไฟฟ้า พยานตอบว่าจากการสอบสวนทราบว่า เจ้าหน้าที่ขึ้นไปอยู่บนนั้นเพื่อคุ้มกันเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในแนวราบ โดยหากอยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ จะไม่มีอะไรบดบังการมองเห็น กรณีของ น.ส.กมนเกด นั้น พยานสรุปสำนวนว่าน่าจะถูกยิงจากเจ้าหน้าที่บนรางรถไฟฟ้า ส่วนนายอัฐชัยถูกยิงจากเจ้าหน้าที่ในแนวราบ ที่พยานเชื่อว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ เพราะบริเวณนี้นอกจากเจ้าหน้าที่แล้วไม่มีใครสามารถเข้าออกได้ นอกจากนี้ ยังสอบสวนทราบว่าทั้งผู้เจ็บและผู้ตายไม่มีอาวุธ ส่วนกระสุนและปลอกกระสุนที่พบก็เป็นอาวุธที่ใช้ในราชการ

ด้านนายณัฐวุฒิเบิกความโดยสรุปว่า ช่วงเดือนมี.ค.2553 นปช.ชุมนุมเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ เพราะเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า พรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวข้องกับการชุมนุมขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรู้เห็นกับการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย โดยนปช.ทั่วประเทศนัดหมายมาชุมนุมในกรุงเทพฯ วันที่ 12 มี.ค.2553 ช่วงแรกตั้งเวทีอยู่ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน ก่อนเพิ่มเวทีที่แยกราชประสงค์ และไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ กระทั่งวันที่ 10 เม.ย.2553 เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 20 ราย แกนนำเห็นว่าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน จึงให้ย้ายมารวมที่เวทีราชประสงค์เวทีเดียวตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.2553 เป็นต้นมา

นายณัฐวุฒิเบิกความอีกว่า ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2553 เป็นต้นมา รัฐบาลสั่งการให้เจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธตั้งแถวสกัดไม่ให้ประชาชนมาชุมนุมที่ ราชประสงค์ได้ ประชาชนที่ต้องการเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมจึงปะทะกับเจ้าหน้าที่หลายจุด พยานจึงเจรจากับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ตัวแทนรัฐบาล ขอให้รัฐบาลคลายวงล้อมเจ้าหน้าที่ออก แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ วันที่ 15 พ.ค. รัฐบาลนำป้ายมีข้อความว่าพื้นที่ใช้กระสุนจริงมาติดตั้งบริเวณที่ตั้งด่าน วันที่ 17 พ.ค. กลุ่มนักวิชาการเสนอให้ประกาศพื้นที่วัดปทุมฯ เป็นเขตอภัยทาน พยานก็ตอบรับและขึ้นไปประกาศบนเวที และวันที่ 18 พ.ค. แกนนำนปช.เจรจากับ กลุ่มส.ว. นำโดย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช และได้ข้อสรุปว่าในเช้าวันที่ 19 พ.ค. แกนนำนปช.จะเปิดโต๊ะเจรจากับนายอภิสิทธิ์ ที่รัฐสภา โดยนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภาในขณะนั้นจะประสานงานให้ หลังเจรจากับส.ว.เสร็จ พยานก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวและชี้แจงบนเวทีอีกรอบ แต่เช้ามืดวันที่ 19 พ.ค. กลับส่งเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม

แกนนำนปช.เบิกความต่อว่า แกนนำประเมินแล้วว่าจะเกิดความสูญเสียจึงประกาศยุติการชุมนุมเวลา 13.00 น. เศษ และประกาศให้ผู้ชุมนุมเดินทางไปที่สนามศุภชลาศัย ที่รัฐบาลจัดรถส่งกลับภูมิลำเนาให้ ขณะที่แกนนำก็เข้ามอบตัวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 14.00 น.ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนเป็นระยะ แต่พยานเพิ่งทราบจากสื่อมวลชนว่ามี ผู้เสียชีวิตในวัดปทุมฯ ในวันต่อมา เพราะพยานและแกนนำถูกนำตัวขึ้นรถไปที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน และขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปที่ค่ายนเรศวร จึงไม่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งนี้ ระหว่างการชุมนุมมีการตั้งการ์ดนปช.คอยดูแลความสงบเรียบร้อย และป้องกันการนำอาวุธเข้ามาในพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สวมเสื้อสีแดง บางคนใส่เสื้อสีดำทับ แต่ไม่มีการพกอาวุธ และไม่พบว่าผู้มี ผู้ชุมนุมพกอาวุธเข้ามาแต่อย่างใด

ต่อมาทนายผู้ตายถามถึงกรณีที่มีผู้กล่าวหาว่าซุกซ่อนอาวุธไว้หลังเวที นายณัฐวุฒิเบิกความว่าเป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะมีผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศอยู่ในบริเวณนั้นตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวของหน่วยงานรัฐเข้ามาสังเกตการณ์ตลอด โดยไม่มีการปิดกั้น และระหว่างการชุมนุมไม่มีข่าวการพบอาวุธในพื้นที่ชุมนุมเลย ส่วนที่บอกว่ามีผู้ติดอาวุธแฝงตัวอยู่ในผู้ชุมนุม ก็ไม่เป็นความจริง การอ้างว่าพบอาวุธเพิ่งจะมีหลังจากการชุมนุมยุติแล้ว รัฐบาลอ้างว่าในกลุ่ม ผู้ชุมนุมมีกองกำลังติดอาวุธ แต่ข้อเท็จจริงคือผู้บาดเจ็บ หรือผู้เสียชีวิตล้วนมีประวัติ และมีครอบครัวที่ตรวจสอบได้ ไม่มีความสามารถในการใช้อาวุธสงครามแต่อย่างใด และเป็นไปไม่ได้ที่แกนนำต้องการให้เกิดการตายของ ผู้ชุมนุมเพื่อกดดันรัฐบาล คนที่ประสงค์อย่างนั้นคือคนที่ออกคำสั่งและลงมือยิง

ส่วน พ.ต.ท.ปกรณ์ เบิกความโดยสรุปว่า พยานมีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ โดยวันที่ 20 พ.ค.2553 ได้รับศพชายไทยไม่ทราบชื่อจาก สน.ปทุมวัน สภาพเป็นชายวัยกลางคน สูง 162 ซ.ม. สวมเสื้อยืดสีดำ ตรวจสอบพบแผลภายนอกที่เกิดจากระสุนปืน 11 แผล และมีแผลภายในเป็นแนวยิง 4 แนว แต่ไม่สามารถระบุท่าทางขณะผู้ตายถูกยิงได้ นอกจากนี้ยังพบเศษกระสุนมีสีเขียว ไม่ทราบชนิด อยู่ภายใน จึงสรุปสาเหตุการเสียชีวิตว่า เกิดจากกระสุนปืนทะลุปอดและหัวใจ ทราบภายหลังว่าคือศพนายสุวัน ผู้ตายที่ 1

พยานเบิกความอีกว่า วันเดียวกัน สน. ปทุมวัน ส่งศพหญิงไทยไม่ทราบชื่อมาให้ชันสูตรด้วย ตรวจภายนอกพบบาดแผล 11 แผล แผลภายในมีแนวถูกกระสุนยิง 5 แนว นอกจากนี้ยังพบเศษกระสุนปืนมีสีเขียวเช่นเดียวกับศพแรก จึงสรุปสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากสมองถูกทำลาย จากแผลที่ถูกกระสุนยิงจากต้นคอด้านหลังขึ้นสู่ศีรษะ และทราบภายหลังว่า คือ ศพ น.ส.กมนเกด ผู้ตายที่ 5

ขณะที่ พ.ต.อ.ปรีดา เบิกความโดยสรุปว่า ขณะเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่ ผกก.อก. 3 บก.อก.บช.น. มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย และป้องกันปราบปราม วันที่ 9 มี.ค.2553 รัฐบาลประกาศให้ กทม. เป็นพื้นที่ต่อความมั่นคง บช.น.จึงนำกำลังไปรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่รับผิดชอบ โดยปฏิบัติงานร่วมกับทหารและพลเรือน ภายใต้การควบคุมของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยนำกำลังทั้งสังกัดบช.น.เอง และกำลังตำรวจภูธรมาจัดเป็นกองร้อยควบคุมฝูงชน

พยานเบิกความอีกว่า วันที่ 19 พ.ค.2553 จัดกำลังไปดูแลรอบๆ พื้นที่ชุมนุม ชุดที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุที่สุดคือชุดของบก.น.6 และตำรวจภูธร จ.กำแพงเพชร 2 กองร้อย รับผิดชอบบริเวณรอบๆ แยกราชประสงค์ และใกล้วังสระปทุม แต่พยานไม่ทราบว่าใครรับผิดชอบพื้นที่ไหน และไม่มีการวางกำลังอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ต่อมาวันที่ 13 พ.ค. มีคำสั่งให้ตั้งจุดตรวจค้น 13 จุด รอบนอกพื้นที่ชุมนุม มีกำลังจุดละ 1 กองร้อย บางจุดตั้งอยู่ใกล้กับทหาร บางจุดมีเพียงตำรวจอย่างเดียว และตำรวจที่จุดตรวจค้นมีเพียงปืนพกประจำกาย ขณะที่กองร้อยควบคุมฝูงชนจะไม่อนุญาตให้พกอาวุธเลย พยานไม่ทราบเกี่ยวกับการเคลื่อนกำลัง เพราะประจำอยู่ที่กองบัญชา การ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และการจะเคลื่อนกำลังตำรวจเข้าไปในพื้นที่ชุมนุมนั้น ตำรวจที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่จะประสานเจ้าหน้าที่ทหารเอง พยานไม่ทราบข้อมูลในส่วนนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่ส่วนครั้งต่อไปวันที่ 4 ก.ค. เวลา 09.00 น. โดยอัยการจะนำพนักงานสอบสวนขึ้นเบิกความ 2 ปาก