เลาะแผน(ลับ)บ้านพิษณุโลก กางบันได 3 ขั้น ป้อง รบ.ยิ่งลักษณ์ รอจังหวะพลิกเกมรุก"อำมาตย์"


14 มิถุนายน 2556

ไม่ ว่าโครงการรับจำนำข้าว ไม่ว่าโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ไม่ว่าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ภายใต้โครงการ ไทยแลนด์ 2020 ณ วินาทีนี้กลายเป็น "ตำบลกระสุนตก" แทบทุกโครงการ

แทนที่ทุกโปรเจ็กต์จะเป็นผลงาน "ชิ้นโบแดง" ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ต่างจากผลงาน "ชิ้นโบดำ" ที่ถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของโครงการ

ทั้งจากการตรวจสอบของกลไกตามรัฐธรรมนูญอย่าง "คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ" (ป.ป.ช.)

ทั้งจากกลไกตรวจสอบถ่วงดุลในสภา โดยพรรคร่วมฝ่ายค้านมี "พรรคประชาธิปัตย์" เป็นแกนนำ

ขยายวงไปถึงกลไกข้างถนนที่คนไม่ชอบ "ยิ่งลักษณ์" และองคาพยพ ออกมาร่วมวงเขย่า จนเกิดปรากฏการณ์ "หน้ากากขาว" เริ่มลามไปทั่วสารทิศ

ที่เป็นเช่นนี้เพราะโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ถูกตั้งคำถามว่าขาดทุนถึง 2.6 แสนล้านบาท หลังสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ "มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส" เตรียมประกาศลดความน่าเชื่อถือของไทย เพราะโครงการดังกล่าวทำให้ขาดทุน สำทับด้วยตัวเลขจากคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการแทรกแซงสินค้าเกษตร ของกระทรวงการคลังที่ระบุว่ามีผลขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท

แต่คำถามนี้กลับไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากบรรดาเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง

ทั้ง "บุญทรง เตริยาภิรมย์" รมว.พาณิชย์ ทั้ง "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" รมช.พาณิชย์ และ "ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย" รมช.คลัง หากสาระคำตอบที่ได้จากการแถลงข่าวของรัฐมนตรีทั้ง 3 คนคือ ยืนยันว่าไม่ได้ขาดทุนถึง 2.6 แสนล้านบาท แต่ไม่บอกว่าขาดทุนไปเท่าไหร่ เพราะเป็นตัวเลขที่ "ปิดลับ"

ทำให้คำตอบว่าโครงการรับจำนำข้าว "เจ๊ง" จริงหรือไม่ ยังเป็นคำตอบที่ยัง "กังขา" !

จนถูกแนวร่วมไม่ว่าใน-นอกพรรคเพื่อไทย เช่น นักการเมืองสายอีสานในพรรค อาทิ "ไพจิตร ศรีวรขาน" ส.ส.นครพนม "สมคิด เชื้อคง" ส.ส.อุบลราชธานี รวมไปถึงอดีต รมว.คลังคนแรกในรัฐนาวายิ่งลักษณ์อย่าง "ธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล" ก็ออกมาแสดงตัวเป็นแนวร่วมมุมกลับ โหนขบวนรุมถล่มการชี้แจงของ 3 รัฐมนตรี

ขณะที่โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ที่มี "ปลอดประสพ สุรัสวดี" รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบ โครงการ ก็ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสหลายขั้นตอน จน ป.ป.ช.สั่งตั้งอนุกรรมการหาข้อมูล-ตรวจสอบการทุจริตเชิง "คู่ขนาน" ทำให้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องส่ง "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ มือขวา มุดถ้ำเสือเข้าไปเคลียร์ใจกับ ป.ป.ช.

ส่วน "ปลอดประสพ" ในฐานะเจ้าของโปรเจ็กต์ กลับทำตัวเป็น "สายล่อฟ้า" แสดงปฏิกิริยาคู่ขนาน เรียกแขกจากทุกทิศทางให้มารุมกินโต๊ะ

ไม่ต่างจากโครงการไทยแลนด์ 2020 ผ่าน พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ถูกฝ่ายกรรมาธิการเสียงข้างน้อย คือพรรคประชาธิปัตย์ขอแปรญัตติจาก 2 ล้านล้าน ให้เหลือวงเงินกู้ 2 แสนล้าน เพราะหลังการพิจารณาในชั้นแปรญัตติวาระที่ 1 ฝ่ายกรรมาธิการเสียงข้างน้อยเห็นว่า มีแผนงานที่ทำได้จริง และทำได้ทันทีเพียง 2 แสนล้านบาทเท่านั้น แต่อีก 1.8 ล้านล้านบาทที่เหลือยังไม่มีแผนงานชัดเจน

นี่เป็นแค่ "แรงต้าน" จากนโยบายด้าน "เศรษฐกิจ" ไม่นับแรงต้านงาน "การเมือง" ที่มีเชื้อไฟอยู่ในตัว เช่น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ การคืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติให้กับ "ถวิล เปลี่ยนสี" ตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง

เมื่อทุกจังหวะการเคลื่อนไหวของรัฐบาลทั้งด้านงานเศรษฐกิจ และงานด้านการเมืองวันนี้ มีแต่ภาพ "ลบ" ไม่มีปัจจัยเชิง "บวก" มาฉุดภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลให้ดีขึ้น

จึงไม่แปลกที่คนในรัฐบาลตั้งแต่ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกฯ  รวมถึงลูกหาบในพรรค ก่อแก้ว พิกุลทอง-พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ฯลฯ ออกมา "ตีปี๊บ" ว่ามีขบวนการ "จ้องล้ม" รัฐบาล ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังร้อนแรงและการเมืองเชี่ยวกราก

เพราะในทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย และทีมยุทธศาสตร์บนตึกไทยคู่ฟ้าวิเคราะห์ตรงกันว่า ขณะนี้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มเปิดหน้ารุกคืบบนกระดานการเมือง ฉวยโอกาสที่รัฐบาลตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ หวังบดขยี้รัฐนาวายิ่งลักษณ์ให้จนมุม

ใช้วิธี "เปิดเกม" ด้วยการโจมตี "จุดอ่อน" ในเนื้องานด้านเศรษฐกิจซึ่งเป็น "หัวใจ" ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยไม่ให้รัฐบาลได้ตั้งหลัก และไม่สามารถแก้ข้อกล่าวหาได้ทันกระแสโจมตีที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว

โดยหวังให้เหมือนกับยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครั้งที่พรรคไทยรักไทยมีทั้งอำนาจการเมือง และจำนวนมือในสภาอย่างแข็งแกร่งถึง 377 เสียง แต่ไม่สามารถล้างภาพการทุจริตในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ได้ เช่น ทุจริตโครงการซีทีเอ็กซ์ 9000

การโจมตี "จุดอ่อน" ดังกล่าว จึงทำคู่ขนานกับงานเคลื่อนไหวมวลชน และกลไกองค์กรอิสระ เพื่อเป็นเชื้อไฟให้การเคลื่อนไหวของหน้ากากขาว และกลุ่มต่าง ๆ ที่ต่อต้านรัฐบาลข้างถนน มีความชอบธรรมมากขึ้น

หากครั้งนี้ทีม "เสนาธิการ" บนตึกไทยคู่ฟ้าของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นำความผิดพลาดจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นบทเรียน

ไม่ให้ซ้ำรอยในอดีตที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" และบรรดาเสนาธิการ "สายเหยี่ยว"

รอบกาย เคยประเมินข้อกล่าวหาต่าง ๆ เช่น ข้อกล่าวหาการทำบุญในวัดพระแก้ว ข้อกล่าวหาความไม่จงรักภักดีของฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไป เป็นผลลัพธ์ที่ทำให้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ต้องกระเด็นพ้นจากอำนาจ

ฉะนั้น หลังฉากการประชุมที่บ้านพิษณุโลก ซึ่ง "ยิ่งลักษณ์" นั่งหัวโต๊ะประชุม มิได้กำหนดวาระตั้งรับ-ตอบโต้แค่เศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเตรียมแผนแก้เกมการเมืองเผื่อไว้ด้วย

เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อกล่าวหาทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ลุกลามบานปลาย กลายเป็นไฟไหม้ฟาง จนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องพ้นอำนาจเหมือนรัฐบาลพี่ชาย

บรรดา "สายเหยี่ยว" และ "นักวางแผน" บนตึกไทยคู่ฟ้า และทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย จึงวางแผนบันได 3 ขั้น แก้เกมฝ่ายตรงข้ามป้องกันอุบัติเหตุทางการเมืองให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์

บันไดขั้นแรก ตั้งคณะทำงานประชาสัมพันธ์ส่วนกลาง ที่มี 3 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สับเปลี่ยนกันเป็นประธาน และแบ่งงานให้ 5 รัฐมนตรีรับผิดชอบงานโทรโข่ง ได้แก่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม พงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ และ รมว.ศึกษาธิการ

ทั้งนี้ การตั้งองคาพยพดังกล่าว เพื่อทำประชาสัมพันธ์เชิงรุกเกี่ยวกับนโยบายรัฐครบทุกมิติ หวังหักล้างข้อกล่าวหา และคำครหาทุกด้าน

ขั้นที่สอง ช่วงชิงมวลชนที่อยู่ตรงกลางมาเป็นแนวร่วมฝ่ายรัฐบาลให้มากที่สุด โดยเดินสายชี้แจงให้ประชาชนเห็นภาพว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกฝ่ายตรงข้ามรังแกอย่างไร ขณะเดียวกันก็ใช้มวลชนเสื้อแดงที่เป็นเกราะคุ้มกันให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย เดินหน้าปกป้องประชาธิปไตย

ขั้นที่สาม หากขั้น 1 และ 2 ไม่สามารถทำให้ "ยิ่งลักษณ์" และองคาพยพ พลิกจากฝ่ายที่ถูกรับมาเป็นฝ่ายรุก หรือพลิกสถานการณ์จากฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในกระดานมาเป็นผู้คุมสถานการณ์ ก็จะให้ "ยิ่งลักษณ์" เดินสายฟ้องชาวโลกว่าเกิดอะไรขึ้นกับประชาธิปไตยในไทย เหมือนที่ "ยิ่งลักษณ์" เคยปาฐกถาที่ประเทศมองโกเลีย

เป็นบันได 3 ขั้นที่ใช้ "ตั้งรับ" เพื่อพลิกสถานการณ์ไปเป็นฝ่าย "รุก" และได้เริ่มลงมือแล้ว ดังที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า แนวร่วมผู้รักประชาธิปไตย เตรียมจัดเวทีภาคประชาชน 100 เวทีทั่วประเทศ เพื่อต่อต้านอำนาจนอกระบบ

ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยยังกำชับให้ ส.ส.ทุกคนลงพื้นที่ เป่าหูชาวบ้านไม่ให้มาร่วมม็อบ ไม่ว่าเป็นม็อบการเมือง หรือม็อบที่เกี่ยวเนื่องจากการทำมาหากิน พร้อมทั้งส่ง ส.ส.ที่เป็นรัฐมนตรีลงไปชี้แจงเป็นแบบโฟกัสกรุ๊ปทุกพื้นที่

แผนดังกล่าวถูกขยายสาระผ่านปากคำ "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" เลขาธิการนายกฯ ซึ่งเชื่อว่าขบวนการล้มรัฐบาลมีอยู่จริง เพราะการบริหารประเทศของรัฐบาล

ยิ่งลักษณ์ไม่ต่างจากสไตล์การทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ทำให้คนบางกลุ่มเสียประโยชน์ แต่ปัจจัยร้อนต่าง ๆ ที่รุมเร้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นเงื่อนไขล้มรัฐบาลได้

สุรนันทน์กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไปเหมือนสมัยพรรคไทยรักไทย เพราะเรามีบทเรียนจากในอดีตมาแล้ว สิ่งที่จะทำให้ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้มีอย่างเดียวคือการทุจริตแบบขนานใหญ่เท่านั้น และตราบใดที่ทหารยังอยู่ในที่ตั้ง และรัฐบาลไม่เปิดช่องให้ผู้ที่จับปืนมาฉวยโอกาสก็ไม่มีอะไรน่ากลัว

สอดคล้องกับ "นพดล ปัทมะ" ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ หนึ่งในคณะยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่คุมจังหวะการเมือง บอกว่า วันนี้กลุ่มที่ใส่หน้ากากก็เป็นพวกเดิม ใช้วิธีเดิม ๆ เราอ่านความเคลื่อนไหวออกหมด เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้มองแค่หน้ากาก แต่มองทะลุหน้ากากไปแล้ว ซึ่งขณะนี้พรรคเพื่อไทยมีกลไกติดตามความเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้ามทุกด้าน เพื่อปิด "จุดอ่อน" ลบ "จุดบอด" ที่คู่ต่อสู้ใช้การโจมตี

"เราจะไม่ปล่อยให้มีการสร้างความเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่การเข็นรถถังออกมา และจะทำให้ประชาชนเห็นว่าการเปลี่ยนรัฐบาลด้วยวิธีการลัดขั้นตอนโดยไม่ได้มาจากการเลือกตั้งนั้นไม่ถูกต้อง เราจะไม่พลาดเหมือนในอดีต เพราะเขาใช้มุขเดิม ๆ คนกลุ่มเดิม ๆ เรารู้ทัน"

แม้วันนี้สถานการณ์การเมืองทั้งกระดาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องการเมือง ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำ

แต่เมื่อแผนบันได 3 ขั้นถูกผลิตขึ้น จากตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล และวงประชุมเสนาธิการ แห่งวงยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย จนได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมบ้านพิษณุโลก

ต้องจับตาดูว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะพลิกสถานการณ์จากผู้ที่ตกเป็นฝ่าย "รับ" มาเป็นฝ่ายที่ "รุกฆาต" ขุมกำลังอำมาตย์ที่กำลังก่อตัวไล่บี้รัฐบาล ณ เวลานี้ได้หรือไม่