ไต่สวนอีกศพ เสื้อแดงปี53 พยานให้การชัด ยิงจากฝั่งจนท.



ศาลอาญาเริ่มไต่สวนการตายนายเกรียงไกร คำน้อย หนุ่มนปช.ถูกยิงเสียชีวิตรายแรกเมื่อเหตุการณ์ 10 เม.ย. 53 ทนายนำพยานไต่สวน 4 ปาก ด้านแพทย์ผู้ชันสูตร ระบุเสียชีวิตจากกระสุนปืนความเร็วสูง เข้าหน้าอกและท้อง จนเส้นเลือดแดงฉีกขาด ด้านเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็ให้การชัด เห็นผู้ตายถูกยิงมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ ขณะเข้ากู้ชีพยังไม่เสียชีวิต ต้องเรียกเรือกู้ภัยมาช่วยถึงพาส่งโรงพยาบาลได้

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 24 ก.พ. ที่ศาลอาญา ศาลนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ อช.8/2556 ที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 10 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายเกรียงไกร คำน้อย อายุ 23 ปี ถูกยิงเสียชีวิตเป็นศพแรกในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ข้างกำแพงกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 โดยพนัก งานอัยการนำพยานเข้าเบิกความ 4 ปาก

น.ส.ธัญกมล คำน้อย พี่สาวผู้ตาย เบิกความสรุปว่า วันที่ 10 เม.ย. 2553 ขณะกำลังทำงานอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เวลาประมาณ 15.00 น. แม่โทรศัพท์มาบอกว่า น้องชายถูกยิงอยู่ที่วชิรพยาบาล ให้ไปดูด้วย จึงนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องรักษา กระทั่งเวลาประมาณ 03.00 น. วันที่ 11 เม.ย. 2553 แพทย์แจ้งว่าน้องชายเสียชีวิตแล้ว ทั้งนี้ทราบจากนายศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นเพื่อนที่อยู่กับน้องชายขณะเกิดเหตุ ว่า น้องชายถูกยิงใกล้ต้นมะขามริมฟุตปาธ ข้างกำแพงกระทรวงศึกษาธิการ จากการไปดูสถานที่เกิดเหตุกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า มีร่องรอยกระสุนปืนถูกยิงมาจากหน้ากระทรวงศึกษาธิการ

นาย ศักดิ์สิทธิ์ ดาหนองแห้ว เพื่อนผู้ตาย เบิกความสรุปว่า วันเกิดเหตุทราบข่าวจากโทรทัศน์ว่าจะมีการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จนถึงหน้ากระทรวงศึกษาธิการ พยานกับผู้ตายและเพื่อนอีก 2 คน จึงเดินทางไปยังบริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ ในเวลาประมาณ 15.00 น. โดยใช้เส้นทางถนนราชดำเนิน จากนั้นจึงเดินไปที่หน้าองค์การสหประชาชาติ ต่อมาตนกับ ผู้ตายแยกเดินไปที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ ขณะนั้นพบทหารกำลังยิงปืนใส่ผู้ชุมนุม โดยตนเห็นทหารมีโล่กับปืนลูกซอง ตั้งแนวอยู่ห่างจากผู้ชุมนุมประมาณ 10 เมตร และผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมจากหน้ากระทรวงศึกษาธิการมาเรื่อยๆ

นาย ศักดิ์สิทธิ์เบิกความต่อว่า ระหว่างที่กลุ่ม นปช.ถอยร่นออกมา ก็เห็นทหารยังยิงปืนมาทางฝั่งผู้ชุมนุม แล้วผู้ตายก็ล้มลง ขณะนั้นผู้ตายยืนอยู่ข้างรั้วกระทรวงศึกษาธิการโดยหันหน้าไปฝั่งทหาร ผู้ตายบอกว่า แน่นท้อง ตนจึงประคองผู้ตายไปที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อเปิดเสื้อผู้ตายดู ก็เห็นรอยกระสุนปืนและมีเลือดไหลออกจากหน้าท้องด้านซ้าย ต่อมามีการ์ด นปช.มาช่วยพาผู้ตายไปขึ้นรถมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ก่อนนำขึ้นเรือไปส่งที่วชิรพยาบาล ส่วนตนนั่งรถจยย.ตามไปถึงเวลาประมาณ 16.00 น. และอยู่เฝ้าจนถึง 24.00 น. จึงกลับบ้าน เนื่องจากมีญาติผู้ตายมาเฝ้าแล้ว ต่อมาเวลาประมาณ 03.00 น. ญาติผู้ตายโทร.มาแจ้งว่าผู้ตายเสียชีวิตแล้ว

นายศักดิ์สิทธิ์กล่าว อีกว่า ก่อนเจ้าหน้าที่จะสลายการชุมนุมไม่มีประกาศแจ้งเตือนแต่อย่างใด เห็นแต่ตั้งแนวและเล็งปืนยิงมาทาง ผู้ชุมนุมเป็นระยะๆ พร้อมเคลื่อนกำลังเข้ามาเรื่อยๆ

ด้านนายปรีชา ณุวงษ์ศรี เจ้าหน้าที่กู้ชีวิตวชิรพยาบาล เบิกความสรุปว่า วันที่ 10 เม.ย. 2553 ก่อนเกิดเหตุ พยานอยู่ในรถพยาบาลที่จอดอยู่ข้างองค์การสหประชาชาติบริเวณสะพานมัฆวาน รังสรรค์ กระทั่งเวลาประมาณ 11.00 น. ทราบว่าทหารจะเคลื่อนมาจากพระบรมรูปทรงม้า พยานจึงนั่งรถ จยย.ไปดู พบทหารประจำอยู่ในกองทัพภาคที่ 1 โดยมี ผู้ชุมนุมดันประตูไม่ให้ทหารออกมา ทหารจึงฉีดน้ำใส่ก่อนมีเสียงปืนดังออกมาจากกองทัพภาคที่ 1 สักพักมีผู้ชุมนุมล้มลงที่ปากประตู ตนจึงเรียกรถพยาบาลมารับ ก่อนถอยออกมาอยู่บริเวณแยกไฟแดงฝั่งตรงข้างกองทัพภาคที่ 1 ประมาณ 500 เมตร

นาย ปรีชาเบิกความต่อว่า จากนั้นทหารเคลื่อนกำลังออกมาจากกองทัพภาคที่ 1 ประมาณ 1,000 คน มีการยิงปืนเฉียงขึ้นฟ้า และยิงมาในแนวระนาบ ตั้งแต่ระดับเอวจน ถึงศีรษะ โดยทหารมีอาวุธปืนเอ็ม 16 ปืน ทาโวร์ และปืนลูกซอง เหตุที่ทราบเพราะพยานเคยเป็นทหารเกณฑ์มาก่อน ต่อมามีการลำเลียงผู้บาดเจ็บออกมา โดยมีผู้ชุมนุมถูกยิงด้วยกระสุนยางที่เบ้าตา ที่ศีรษะและตามตัว บางส่วนถูกยิงด้วยกระสุนปืนเอ็ม 16 ระหว่างนั้นพยานเห็นผู้ตายล้มลงที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ โดยพยานเห็นว่าผู้ตายถูกยิงมาจากฝั่งทหาร พยานจึงนำรถพยาบาลไปรับ ขณะนั้นผู้ตายไม่ได้สติแล้ว แต่ยังมีสัญญาณชีพจรอยู่ โดยผู้ตายถูกยิงบริเวณท้อง 1 นัด และหน้าอก 1 นัด ตนจึงเรียกเรือพยาบาลมารับที่ท่าเรือสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าไปส่งที่วชิร พยาบาล เนื่องจากการจราจรโดยรอบถูกปิด จากนั้นพยานจึงกลับมารับผู้บาดเจ็บอื่นๆ ต่อ ในวันเกิดเหตุพยานได้รับผู้บาดเจ็บประมาณ 15 คน ส่วนใหญ่ถูกยิงและถูกตีที่ศีรษะ

ต่อมาทนายญาติผู้ตายถามว่า ก่อนเจ้าหน้าที่จะสลายการชุมนุมมีการประกาศแจ้งเตือนหรือไม่ และมีผู้ชุมนุมไปทำร้าย เจ้าหน้าที่ ปิดสถานที่ราชการ หรือทำลายทรัพย์สินทางราชการหรือไม่ พยานเบิกความว่า ไม่มีการประกาศแจ้งเตือน และก่อนสลายการชุมนุมก็ไม่พบว่ามีผู้ชุมนุมไปก่อเหตุวุ่นวายใดๆ ทนายญาติผู้ตายถามต่อว่าเห็นชายชุดดำหรือบุคคลอื่นเข้าไปอยู่ในกลุ่มของทหาร หรือไม่ พยานเบิกความว่าไม่เห็น ทนายญาติผู้ตายถามอีกว่าเห็นผู้ชุมนุมยิงกันเองหรือไม่ พยานเบิกความว่า ไม่มี เนื่องจากไม่พบว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธ

นพ.วรวิทย์ วณิชกุลบดี แพทย์นิติเวช วชิรพยาบาล เบิกความสรุปว่า ตนผ่าชันสูตรศพผู้ตายในเวลาประมาณ 08.30 น. วันที่ 11 เม.ย. 2553 พบบาดแผลบริเวณหน้าอกจนถึงหน้าท้อง และพบรอยกระสุนปืนที่สะโพกทั้งสองข้าง เยื่อบุหัวใจ กระบังลม ลำไส้เล็ก และเส้นเลือดแดงใหญ่ต้นขาขวาฉีกขาด กระดูกอุ้งเชิงกรานหัก จึงสรุปสาเหตุการตายว่า เกิดจากกระสุนทะลุเส้นเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด สันนิษฐานว่า เป็นกระสุนปืนความเร็วสูง โดยบาดแผลมีขนาด 0.3-0.5 ซ.ม. คาดว่าเกิดจากกระสุนปืนที่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไปวันที่ 3 มี.ค. เวลา 09.00 น.


ที่มา ข่าวสดออนไลน์