หมอเหวง โต้ ธีรยุทธ บุญมี

"ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้"



นพ.เหวง โตจิราการ

วิกฤตการเมือง ที่ม๊อบสุเทพ ก่อขึ้นในทุกวันนี้ รากเหง้าของปัญหา หรือความขัดแย้ง อยู่ที่ ความพยายามของฝ่าย "ที่กดขี่" ผู้อื่นมาเป็นระยะเวลายาวนาน พยายามที่จะรักษา สถานภาพการกดขี่ของตนให้กลับมาเหมือนเดิม และพยายามที่จะรักษาสภาวะการณ์ดังกล่าวให้คงอยู่ดังเดิมให้ยาวนานออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


พวกที่ได้เปรียบในสังคมไทยทุกวันนี้ ประกอบด้วยชนชั้นบนจำนวนน้อยนิดในระดับเรือนแสน เมื่อเปรียบเทียบกับ ประชาชนไทยทั้งปวง ที่มีจำนวนกว่าหกสิบห้าล้าน พวกนี้เคยอยู่ในสถานภาพที่ได้เปรียบ กดขี่ขูดรีด ชนชั้นล่างมาเป็นเวลายาวนาน และเป็นพวกที่สูบเอาผลประโยชน์ไปจาก ชนชั้นล่างไปเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น พรรคประชาธิปัตย์ บางส่วนของ ข้าราชการพลเรือน รวมไปถึงข้าราชการด้านตุลาการ องค์กรอิสระ พวกนายทหารเผด็จการทั้งในอดีตและใน ปัจจุบัน นักแสดง นักวิชาการชั้นสูง ฝ่ายวิชาชีพไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ทนายความ รัฐวิสาหกิจ นักธุรกิจในหลายสาขา รวมทั้งพวกเอ็นจีโอที่อยู่ได้ด้วยการเป็น "นายหน้าค้าความจน" ของคนยากคนจนทั้งหลาย


พวกเขาสูญเสีย สภานภาพทางการเมืองที่พวกเขา สามารถบริหารจัดการ การเอารัดเอาเปรียบชนชั้นล่างได้อย่างเต็มกำลัง ตั้งแต่ รัฐธรรมนูญ2540 บังคับใช้ และพรรคไทยรักไทยตลอดไปจนถึงพรรคที่สืบทอดทางการเมืองจากพรรคไทยรักไทย (ซี่งในปัจจุบันคือพรรคเพื่อไทย) ได้รับการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายมาเป็นเวลากว่าสิบปี และมีแนวโน้มว่า พรรคเพื่อไทยจะได้รับการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายจากประชาชนไทยต่อเนื่องไปอีกหลายสมัย อันเนื่องจากนโยบายที่สามารถแก้ปัญหาให้คนจน และสร้างอนาคตอันรุ่งโรจน์ให้แก่สังคมไทย


จึงทำให้ พวกชนชั้นได้เปรียบทั้งหลาย ต้องการแย่งชิงเอาอำนาจทางการเมืองของพวกเขากลับคืนมาให้ได้ หลังจากที่พวกเขาล้มเหลวไม่สามารถเอาอำนาจคืนมาได้แม้จะได้ "ก่อการสังหารหมู่ประชาชนจำนวนนับร้อยเมื่อปี2553" เพื่อทำลายการต่อสู้ของประชาชนและทำลาย พรรคเพื่อไทยลงไปให้สิ้นทราก 


ตรงข้าม ประชาชนส่วนใหญ่ที่สุดของประเทศกลับยังยืนยันที่จะเลือกพรรคเพื่อไทย กลับมาบริหารประเทศอีกเพราะเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาความยากจน และการสร้างอนาคตใหม่ที่สดใสรุ่งโรจน์ของประเทศและประชาชนต่อไป
 

ชนชั้นผู้ได้เปรียบดังกล่าว จึงโกรธแค้นชิงชังอย่างรุนแรง และมุ่งมาดที่จะทำสงครามแย่งชิงอำนาจดังกล่าวกลับคืนมาอยู่ในอุ้งมือของพวกเขาให้ได้ พวกเขาจ้องที่ก่อสงครามปล้นชิงอำนาจภายหลังที่พวกเขาพ่ายแพ้ในการ "เข่นฆ่าประชาชน2552-3" และพ่ายแพ้การเลือกตั้งในปี2554ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
 

มาได้ช่องเมื่อพรรคเพื่อไทย ดำเนินการณ์ผิดพลาดในเรื่อง "นิรโทษสุดซอย-เหมาเข่ง" พวกเขาสามารถปลุกปั่นให้พวกที่ยังคงเคียดแค้นชิงชังรัฐบาลทักษิณที่เปลี่ยนแปลงสถานภาพของคนชั้นล่างยากจนของสังคมไทยให้เงยหน้าอ้าปากได้ อันทำให้พวกเขาสูญเสียประโยชน์ที่ได้จากการเอารัดเอาเปรียบคนจนในอดีตที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง

สร้างเงื่อนไขให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ สามารถปลุกปั่นปลุกระดม คนของพวกเขา(ซึ่งก็คือพวกที่โหวตเลือกประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งในอดีตที่ผ่านมา ในกทม.อย่างน้อยก็ ไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านคน ที่เลือก สุขุมพันธ์บริพัตรในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.เมื่อต้นปี2556ที่ผ่านมา)ให้มาชุมนุมกันจำนวนเรือนแสน
พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดได้ประกาศสัตยาบรรณยกเลิก "พรบ.นิรโทษสุดซอย" และวุฒิสภาได้โหวตคว่ำด้วยคะแนน 141 ต่อ 0


พวกเขาก็ไม่เลิกการชุมนุมแต่กลับเดินหน้าต่อนี่ยืนยันว่า จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเขาเป็นเรื่องโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย โค่นล้มระบอบที่ยอมรับ หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเท่าเทียมกันลงไปเพื่อสร้างระบอบ "ฉันวิเศษกว่าพวกคุณ ฉันต้องเป็นคนกำหนดกติกา และเป็นคนปกครองพวกคุณ"
สร้างจินตภาพหลอกลวงโดยใช้วาทกรรม "ระบอบทักษิณ"มาปลุกปั่นผู้คนต่อไป เพื่อนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า"รัฐบาลประชาชน รัฐสภาประชาชน โดยการปฏิวัติประชาชน ยึดอำนาจรัฎฐาธิปัตย์มาเป็นของนายสุเทพ"
 

ซึ่งความจริงแล้วก็คือ "การกบฎ โค่นล้มรัฐธรรมนูญ รัฐบาล รัฐสภา" นั่นเอง นายสุเทพ อำพรางความเลวร้ายของตนโดยสร้างเสื้อ คลุมอำพรางว่า "ต้องการปฏิรูปการเมือง เพื่อทำลายการคอรัปชั่น ทำลายการเลือกตั้งที่ซื้อเสียง เลือกผู้ว่าทุกจังหวัด ทำลายระบบโครงสร้างตำรวจแบบเก่าให้มาขึ้นต่อประชาชนโดยตรง"โดยที่ความจริงแล้ว สุเทพสามารถทำได้ ในยุคที่เขาเป็นรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีหลายสมัยหลายปีที่ผ่านมาแต่เขาไม่เคยคิดไม่เคยพูดไม่เคยทำ ทั้งที่เรื่องเลือกผู้ว่าเป็นนโยบายของประชาธิปัตย์แถลงต่อรัฐสภาในสมัยชวนหลีกภัย

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่อง หลอกลวงที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณสร้างขึ้นอำพรางแก่นแท้ของพวกเขา ที่ต้องการ "แย่งยึด ปล้นชิง เอาอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย มาเป็นของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้สถาปนาอำนาจรัฐที่ชนชั้นผู้กดขี่คงอำนาจสูงสุดอีกต่อไปให้ได้ยาวนานนั่นเอง"
 

สิ่งที่ นายธีรยุทธบุญมี ยกมาอ้างทั้งหมดในบทความของเขา จึงเป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาประจานความชั่วร้ายของรัฐบาลสมัยทักษิณหรือสืบเนื่องมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นั้นก็เป็นเรื่องที่ใส่ร้ายป้ายสีเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ความชั่วร้ายดังกล่าว เกิดขึ้นในเกือบทุกรัฐบาลที่ผ่านมาทั้งหมด และหนักหนาสาหัสมากกว่าที่เกิดในสมัยทักษิณหรือยิ่งลักษณ์เสียด้วยซ้ำไปในสมัยรัฐบาลชวนหลีกภัยและรัฐบาลอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ โดยที่เขาไม่กล่าวถึงแม้แต่น้อย
 

 การที่เขาอ้าง พุทธธรรม ในเรื่อง "หิริโอตตัปปะ" นั้น แท้จริงแล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพชั่วร้ายยิ่งกว่ารัฐบาลสมัยใดๆที่ผ่าน เพราะพวกเขาเป็นรัฐบาลพลเรือนที่สั่งทหารจำนวนประมาณหกหมื่นนาย ใช้อาวุธสงครามและ กระสุนปืนจำนวน กว่า 120,000 นัด พลแม่นปืนหลายร้อยนายพร้อมกระสุนกว่า 2,800นัด สังหารประชาชนสองมือเปล่า จำนวนร่วมร้อย โดยใส่ร้ายป้ายสีประชาชนว่า มีชายชุดดำที่ใช้อาวุธต่อสู้กับพวกเขา และยังใส่ร้ายประชาชนว่า "เผาบ้านเผาเมือง" อีกโดยที่พวกเขาไม่เคย แสดงออกซึ่ง "หิริ" อันได้แก่ความเกรงกลัว และ "โอตตัปปะ"อันได้แก่การละอายต่อบาปที่พวกเขาสร้างขึ้น
นี่ยังมีการ คอรัปชั่นโกงกินจำนวนมหาศาลไม่ว่าจะ เป็นเรื่องการกู้เงินจำนวน แปดแสนล้าน โครงการไทยเข้มแข็ง โครงการชุมชนพอเพียง โครงการโฮปเวล สถานีตำรวจที่มีแต่เสา เช็คช่วยชาติ ถนนปลอดฝุ่นซึ่ง โกงกินกันจำนวนมหาศาล แต่นายธีรยุทธมองไม่เห็น นายธีรยุทธมองเห็นแต่เรื่อง "โกงจำนำข้าว"ซึ่งยังต้องถกเถียงพิสูจน์กันอีกมากมาย โครงการสร้างความทันสมัย 2 ล้านล้าน โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านเป็นต้นซึ่งก็ยังไม่มีหลักฐานชัดแจ้งแต่อย่างไร


การอ้างมาร์ตินลูเธอร์คิง เป็นเรื่องที่น่าสมเพชเวทนานายธีรยุทธบุญมีเป็นอย่างยิ่ง เขาอ่านไม่เข้าใจ หรือไม่ได้อ่านไม่ทราบได้ เพราะสิ่งที่มาร์ตินลูเธอร์คิงพูดนั้น แก่นก็คือ เขาพร้อมที่จะสละชีวิต ต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิที่เท่าเทียมกันของชาวอเมริกันนิโกรให้เสมอภาคกับชาวผิวขาวครับ นั่นคือ ทำลายการกดขี่ที่ พวกผิวขาวกระทำต่อคนผิวดำ ครับ นั่นก็คือ ทำลายการกดขี่นั่นเอง นี่กลับเป็นการยืนยันว่า "ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้" "การกดขี่รุนแรงเท่าใด การต่อสู้ก็จะรุนแรงเท่านั้น"
 

ผมคงไม่ต้องลงไปสู่รายละเอียดมากมายที่แสดงความ ไม่เข้าท่า ของนายธีรยุทธที่พยายามอธิบายสร้างความชอบธรรมให้กับม๊อบนกหวีด ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องทำลายหลักการแห่งความเสมอภาคของมนุษยไปเสียทั้งนั้น
 

แล้วที่นายธีรยุทธบุญมี เสนอทฤษฎี "มะม่วงหล่น" นั้น เขาพลาดอย่างยิ่งเลยครับ เพราะ สัจจธรรมของมนุษย์ตั้งแต่มนุษยรู้จักรวมตัวกันเป็นกลุ่ม หลายหมื่นปีที่ผ่านมา มาจนถึงปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่ บอก ชาวโลกรุ่นต่อมาและรุ่นต่อไปว่า ประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้น เป็นประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้
1.ภายนอกเป็นการต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์อันแสดงออกเป็น การค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่อันนำไปสู่การผลิตโภคทรัพย์ทั้งหมดและความทันสมัย คุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นๆไปของมนุษย์


2.ภายในของสังคมมนุษย์ เป็นการต่อสู้ของชนชั้นผู้ถูกกดขี่ทำลายล้างการกดขี่ของชนชั้นผู้กดขี่ลงไป อันส่งผลให้ สังคมมนุษย์วิวัฒนการเป็นยุคต่างๆของประวัติศาสตร์


3.และมนุษย์ยังคงธำรงการต่อสู้ทั้งสองด้าน สืบต่อไปอีกยาวนานจวบจนสามารถทำลายล้างการกดขี่ระหว่างมนุษย์ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะแบบ หยาบกระด้าง หรือในแบบเนียนละเอียดจนแทบจะไม่รู้สึกก็ตาม 


ซี่งเมื่อนั้นอุดมการณ์ของมนุษยชาติในเรื่อง"เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ"จึงจะปรากฏเป็นจริงขึ้
แม้กระนั้นก็ตาม การต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธ์มนุษย์ก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป ในรูปของการค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะหมดยุคของมนุษยในโลกนี้ไป


นพ.เหวง โตจิราการ 16 มกราคม 2557 18.30 น.



ที่มา Facebook นพ.เหวง โตจิราการ