ศาลแพ่งสั่งไม่คุ้มครองชั่วคราว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ระบุยังไม่มีเหตุการณ์สลายการชุมนุม


เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 31 มกราคม ที่ห้องพิจารณาคดี 712 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ 275/2557 ที่นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ปฏิบัติหน้าที่ รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศรส. และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ในฐานะรอง ผอ.ศรส. จำเลยที่ 1-3 ในข้อหาละเมิด เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และห้ามใช้กำลังสลายการชุมนุม พร้อมขอศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว

เมื่อถึงเวลานัดนายถาวร พร้อมด้วยทนายความเดินทางมาศาล ส่วนจำเลยที่ 2 ได้มอบอำนาจให้ตัวแทนยื่นคำร้องคัดค้านอำนาจศาลแพ่งว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจศาลปกครอง และศาลแพ่งไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ ซึ่งศาลได้รับไว้พิจารณาและนัดฟังคำสั่งในวันที่ 6 ก.พ.นี้


โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำร้องโจทก์ที่อ้างเหตุในการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา โดยขอให้ศาลมีคำสั่งอ้างมิให้มีการดำเนินการตามประกาศหรือข้อกำหนด 12 ข้อ ประกอบด้วย

1.ห้ามจำเลยทั้งสาม ใช้หรือสั่งเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ใช้กำลังหรืออาวุธเข้าสลายการชุมนุมของโจทก์และประชาชน

2.ห้ามจำเลยทั้งสามมีคำสั่งยึดหรืออายัดสินค้า เครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์หรือวัตถุอื่นใดที่ใช้ในการชุมนุมของโจทก์

3.ห้ามจำเลยทั้งสามออกคำสั่งตรวจค้น รื้อถอน หรือทำลายอาคารสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งกีดขวางของโจทก์

4.ห้ามจำเลยทั้งสามสั่งการให้การซื้อขาย ใช้ หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้า เวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภคฯ ที่อาจใช้ในการชุมนุมของโจทก์ต้องรายงานหรือได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน

5.ห้ามจำเลยทั้งสาม สั่งการห้ามกระทำการที่เป็นการปิดการจราจร เส้นทางคมนาคม หรือกระทำการที่ไม่อาจใช้เส้นทางได้ตามปกติ ในทุกเขตพื้นที่ ที่โจทก์ใช้ในการชุมนุม

6.ห้ามจำเลยทั้งสามประกาศ กำหนดพื้นที่ที่ห้ามการชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

7.ห้ามจำเลยทั้งสามสั่งการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะหรือกำหนดเงื่อนไขในการใช้เส้นทางคมนาคม ที่ใช้ในการชุมนุม

8.ห้ามสั่งโจทก์ใช้อาคารหรือเข้าไป หรืออยู่ในสถานที่ใด หรือห้ามเข้าไปในพื้นที่ใดๆ

 9.ห้ามจำเลยทั้งสามสั่งให้โจทก์และประชาชนที่ร่วมกันชุมนุมออกจากพื้นที่การชุมนุม หรือออกคำสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปในพื้นที่การชุมนุม

 10.ห้ามจำเลยทั้งสามใช้หรือสั่งเจ้าหน้าที่ให้ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของโจทก์

 11.อนุญาตให้โจทก์และประชาชนทั่วไปใช้หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการประกาศกำหนดได้

 12.อนุญาตให้โจทก์ใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะ หรือจอดยานพาหนะในพื้นที่ที่มีการประกาศกำหนดได้

 ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำขอของโจทก์ตามข้อ 1,3 และ 5-12 นั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นกฎหมายที่มีเจตนารมณ์ให้อำนาจฝ่ายบริหารมีอำนาจพิเศษบางประการสำหรับบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินรวมถึงการออกประกาศและข้อกำหนดต่างๆ เท่าที่มีเหตุจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลกระทำการหรือร่วมมือกระทำการใดที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง หรือ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการระงับเหตุการณ์ร้ายแรงนั้น แต่การใช้อำนาจของฝ่ายบริหารไม่ได้ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องความเสียหายจากทางราชการ

 หากการใช้อำนาจของรัฐเป็นการใช้อำนาจโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติและเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีจำเป็น ตามมาตรา 17 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีกทั้งการดำเนินตามกฎหมายฉบับนี้จะต้องไม่กระทบสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63

 แม้โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสามออกประกาศและมีข้อกำหนดรวมถึงมีการประชุมวางแผนจัดเตรียมกำลัง เจ้าพนักงานตำรวจชุดกองร้อยปราบจลาจล  16,000 นาย เพื่อใช้ในการสลายการชุมนุมของโจทก์และประชาชนก็ตาม แต่เมื่อยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งว่า

 ขณะที่โจทก์กับพวกได้ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิ์ จำเลยทั้งสามได้สั่งการหรือดำเนินการใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าจะมีการใช้กำลังเข้าสลายโจทก์และประชาชนที่มาร่วมชุมนุม ข้อเท็จจริงที่ได้ฟังจากการไต่สวนจึงยังไม่มีเหตุเพียงพอ ที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราว ก่อนพิพากษาตามคำขอของโจทก์มาใช้

 ส่วนคำขอของโจทก์ตามข้อ 2 และ 4 นั้น เมื่อได้ฟังจากการไต่สวน โจทก์และประชาชนใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง โดยมีเหตุผลมาจากความไม่ไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ถือเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับความคุ้มครอง การที่จะออกคำสั่งหรือกระทำการใดๆ ที่จะกระทบหรือขัดขวางการชุมนุมโดยสงบแล้ว ย่อมเป็นการกระทบต่อสิทธิของโจทก์ การออกประกาศตามมาตรา 11 ของพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

 ในส่วนที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่งยึดหรืออายัดสินค้า เครื่องอุปโภค บริโภค เคมีภัณฑ์หรือวัตถุอื่นใด ในกรณีที่มีเหตุสงสัยว่าจะใช้สิ่งนั้น เพื่อสนับสนุนการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน และสั่งการให้ซื้อ ขาย ใช้ หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้า เวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ในการก่อความไม่สงบหรือก่อการร้าย ต้องรายงานหรือได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ซึ่งมีผลบังคับรวมถึงโจทก์และผู้ชุมนุมนั้นด้วย กรณีดังกล่าวจึงกระทบต่อการดำรงชีวิตของโจทก์และประชาชนโดยปกติสุข

 ซึ่งโจทก์มีนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาฯ สมช. เบิกความว่า การออกประกาศของจำเลยทั้งสาม เพื่อที่จะจำกัดหรือควบคุม โดยมุ่งเน้นไปที่ผู้ชุมนุมเป็นหลัก แสดงให้เห็นว่าการดำเนินการของจำเลยทั้งสาม เป็นการมุ่งเน้นที่จะจำกัด หรือควบคุมการใช้สิทธิของโจทก์และผู้ชุมนุมตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ ฉะนั้นจึงมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้งสามดำเนินการตามคำร้องโจทก์ในข้อ 2 และข้อ 4 ดังกล่าว  จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

 ส่วนประกาศและข้อกำหนดอื่นๆ ให้จำเลยทั้งสามกระทำการไปโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เกินสมควรแก่เหตุ หรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งต้องปฏิบัติตามประกาศและข้อกำหนดนั้น

 นายถาวร กล่าวภายหลังว่า จากที่ตนได้ยื่นให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว 12 ข้อ ศาลได้อนุญาต 2 ข้อ คือ ห้ามไม่ให้สั่งยึดหรืออายัด สินค้า เครื่องอุปโภค บริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัตถุอื่นใดเพื่อใช้ในการชุมนุม และห้ามสั่งการให้การซื้อ ขาย ใช้วัตถุดังกล่าว ต้องรายงานหรือได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ก่อน

 แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมากกว่าคำสั่งคุ้มครอง 2 ข้อที่กล่าวมานั้น คือศาลได้มีคำสั่งให้จำเลยทั้ง 3 กระทำการไปโดยสุจริต ไม่เลือกปฎิบัติ ไม่สมควรแก่เหตุ หรือกระทำการไม่เกินกว่าเหตุจำเป็น ศาลยังได้มีการกล่าวถึงคำวินิจฉัยครั้งนี้่ว่า การชุมนุมครั้งนี้เป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ  ศาลจึงรับคำร้องไว้พิจารณาในกรณีขอเพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน  ซึ่งรัฐบาลเองก็ควรที่จะรับฟังคำสั่งศาล และไม่เลือกปฏิบัติแม้ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงก็ตาม

 ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ส่งตัวแทนมายื่นคำร้องต่อศาล โดยระบุว่าศาลแพ่งไม่มีอำนาจที่จะรับคำร้องของฝ่ายตนไว้รับพิจารณา ซึ่งตนมองว่าเป็นการถ่วงเวลา เพราะศาลแพ่งเองก็มั่นใจอยู่แล้วว่ามีอำนาจในการพิจารณา และยังบอกให้จำเลยทั้ง 3 เดินทางมาฟังคำสั่งด้วย ตนพอใจในคำสั่งศาลดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง และคงจะไม่ยื่นอุทธรณ์ในกรณีที่ไม่คุ้มครองชั่วความในการห้ามใช้กำลังสลายการชุมนุมแต่อย่างใด ซึ่งในวันนัดชี้สองสถานก็จะต่อสู้ต่อไปเพื่อให้เพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ได้

 “ฝากถึงจำเลยทั้ง 3 ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลแพ่งอย่างเคร่งครัด และต้องไม่เลือกปฏิบัติ เช่น คนเสื้อแดงชุมนุม ทางรัฐบาลก็ต้องนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปใช้เหมือนกันด้วย ถ้ารัฐบาลสั่งเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมก็เท่ากับกระทำการโดยไม่สุจริต และถือว่าผิดคำสั่งของศาล” นายถาวรกล่าว


ที่มา มติชน