ปราบกบฏด้วยการเลือกตั้ง / โดย กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข
On January 10, 2014
คอลัมน์ : ฟังจากปาก
ผู้เขียน : กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข bkk321@yahoo.com
นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน มองว่าการที่กลุ่ม กปปส. ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องการปิดกรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อให้ทหารออกมาปฏิวัติ แต่การปฏิวัติไม่ใช่เรื่องที่สังคมปัจจุบันยอมรับ ดังนั้น เราต้องปราบกบฏด้วยการไปเลือกตั้งเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
+++++++++
มองภาพรวมการเคลื่อนไหวของ กปปส. อย่างไร
เท่าที่ประเมินสถานการณ์การเคลื่อนไหวของฝั่งผู้ชุมนุมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการ มีความน่าเป็นห่วง เพราะเป็นการชุมนุมที่ถึงขั้นติดอาวุธ แล้วก็มีเจตจำนงที่จะยกระดับไปสู่ความรุนแรง ซึ่งความรุนแรงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะกดดันรัฐบาลรักษาการที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี รวมทั้งกดดันในกลุ่มพวกเขากันเอง และยังกดดันกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดงด้วย เพื่อที่จะให้ออกมาปะทะกับม็อบ กปปส.
ที่สำคัญ กปปส. มีการเคลื่อนไหวทุกวิถีทางเพื่อที่จะกดดันกองทัพ และกดดันกระบวนการตุลาการตลอดจนองค์กรอิสระ เพื่อหวังให้ตัวช่วยทั้งหมดออกมาช่วย กปปส. เพื่อให้มันจบ เรียกว่ายุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวของม็อบ กปปส. คล้ายๆกับที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือเสื้อเหลืองบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือต้องการทำให้เกิดความรุนแรง ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็รีบตัดสินให้ยุบพรรคพลังประชาชน จนทำให้นายกฯสมชายต้องลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกข้อหาทุจริตการเลือกตั้ง
ดังนั้น สถานการณ์ขณะนี้ในความขัดแย้ง ม็อบ กปปส. เป็นด้านหลัก เป็นผู้กระทำ รัฐบาล ตำรวจ และศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กลายเป็นผู้ถูกกระทำ เป็นด้านรอง การแก้ปัญหาจึงต้องทำให้ด้านรองขึ้นมาเป็นด้านหลัก ถ้าด้านรองยังไม่สามารถขึ้นมาเป็นด้านหลักก็จะอยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำต่อไป
เรื่องการเลือกตั้ง คำว่า “ปฏิรูป” ที่ถูกใช้มาไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะว่าเขาไม่เอาหรอก คนก็เลยไปคิดกันว่าจะแก้ปัญหาด้วยการปฏิรูปเพื่อที่จะให้กลุ่มเหล่านี้หยุดการกระทำ บางทีมันไม่ใช่ เพราะเขาพูดออกมาชัดเจนแล้ว เรื่องการปฏิรูปประเทศไทยมีคนศึกษาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส พอเขาพูดอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่า “เอาเทวดามาปฏิรูปยังไงผมก็ไม่เอาหรอก ผมจะเอาอย่างเดียวคือ นายกฯยิ่งลักษณ์ต้องลาออกไปเลย แล้วให้อำนาจพวกผมตั้งสภาประชาชน”
ขณะนี้เขาก็พยายามต่อสู้ในเกมของการเลือกตั้ง โดยฝั่งรัฐบาลมีความชอบธรรมในการเสนอเกมเลือกตั้ง และต้องการให้เกมเลือกตั้งผ่าน นั่นหมายถึงอย่างน้อยที่สุดก็พลิกมาเป็นด้านหลัก คือพลิกมาเป็นผู้กระทำจากการเสนอเกมเลือกตั้ง ม็อบ กปปส. จึงต้องพยายามล้มเกมเลือกตั้ง เพราะถ้าเลือกตั้งผ่านพวกเขาก็พ่ายแพ้
เรามีคำอธิบายง่ายๆว่า ถ้าคุณเล่นฟุตบอลก็เหมือนกับระบอบประชาธิปไตย ในโลกนี้เขาเล่นกันอย่างไรคุณก็ต้องเล่นอย่างนั้น คุณจะมาเขียนกติกาใหม่เองมันไม่ถูก ถ้าคุณอยากชนะคุณต้องซ้อมให้มากขึ้น ไม่ใช่บอกว่าพวกกูเตะแล้วพ่าย พวกกูขอใช้มือแทน ตรงนี้เป็นคำอธิบายที่เข้าใจได้ง่าย ซึ่งเราก็ไม่ได้มีการขออะไรมากไปกว่านี้ เพียงแต่อยากให้เล่นในเกมเท่านั้น ซึ่งจากการพูดคุยกับทูตจากประเทศต่างๆเขาก็เห็นด้วยกับเราทั้งนั้น คือต้องเล่นในเกมและความยุติธรรม สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือ ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างกลุ่มสี แต่เราก็บอกเขาไปว่าจะไม่ให้เกิดขึ้น
การปฏิวัติประชาชนของนายสุเทพคืออะไร
ขอวิเคราะห์ในเชิงหลักการ ถ้าพิจารณารูปแบบคล้ายๆเลียนแบบฝ่ายประชาชนที่ก้าวหน้าในการลุกขึ้นสู้กับทรราชหรือเผด็จการเพื่อเรียกร้องอำนาจมาสู่ประชาชน ในปัจจุบันนี้ในยุคเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์ การเมืองการปกครองส่วนมากก็เป็นระบอบประชาธิปไตย การเรียกร้องลุกขึ้นสู้ของประชาชนที่เป็นการปฏิวัติประชาชนนั้นมีน้อยมาก ไม่เหมือนในอดีตในยุคที่เศรษฐกิจการเมืองเป็นระบอบศักดินา มีพระมหากษัตริย์ปกครองแบบ “เอกาธิปไตย” หรือ “คณาธิปไตย” จึงเกิดมีการปฏิวัติประชาชนเช่นในฝรั่งเศส หรือการลุกขึ้นสู้กับจักรวรรดินิยม เช่น ในสหรัฐอเมริกา และประเทศอินโดจีน เอเชีย แอฟริกา อเมริกาใต้ เป็นต้น
ส่วนนายสุเทพใช้การปลุกระดม ใช้พรรคประชาธิปัตย์ ตลอดจนชนชั้นจารีตนิยม มาก่อการจลาจล การชุมนุมที่เกิดความรุนแรงยกระดับ ทั้งระดมคนจำนวนมากและสร้างสถานการณ์บุกรุก ยึดครองสถานที่ราชการ ยึดถนน และที่เป็นข้อเสนอล่าสุดคือ ปิดกรุงเทพฯ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้รูปแบบการปฏิวัติประชาชนของนายสุเทพไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เป็นเพราะ 1.เป้าหมายของการลุกขึ้นสู้นั้นเป็นเป้าหมายที่ล้าหลัง เพราะปฏิเสธการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงไม่สามารถใช้รูปแบบของการปฏิวัติประชาชนได้ เพราะรูปแบบนี้ใช้กับการเรียกร้องการเมืองการปกครองที่ก้าวหน้ากว่าเดิม
2.จุดยืน เป็นจุดยืนของพวกชนชั้นนำ จารีตนิยม ที่ปฏิเสธการเข้ามามีอำนาจของคนยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนายทุนยุคใหม่ ชนชั้นกลางใหม่ ประชาชนชั้นล่างในยุคใหม่ ซึ่งรวมตัวกันเป็นองค์ประกอบใหม่ที่สำคัญของการเมืองการปกครองไทย เมื่อจุดยืนไม่ได้อยู่ที่ประชาชนชั้นล่างส่วนใหญ่ แต่ต้องการสถาปนาการเมืองการปกครองที่อยู่ภายใต้การนำของระบอบอภิชนาธิปไตยหรืออำมาตยาธิปไตย ปฏิเสธความเท่าเทียมกันของประชาชนทางการเมืองการปกครองก็ไม่อาจสร้างความชอบธรรมในการต่อสู้ และจะเผชิญกับการต่อต้านจากประชาชนเสียงข้างมากอย่างแท้จริง รวมทั้งการต่อต้านจากประชาคมโลก
3.ทรรศนะที่หยุดนิ่ง ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลก และจุดยืนแบบ 40 ปีที่ผ่านมา มาเป็นแม่แบบในการต่อสู้ เพราะต้องการความสำเร็จแบบเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 มองไม่เห็นการเคลื่อนตัวของสังคมไทย สังคมโลก ที่สำคัญมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของประชาชนรากหญ้า คนส่วนใหญ่ที่ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ให้เป็นการเมืองการปกครองแบบเดิมๆที่ไม่เห็นหัวประชาชนอีกต่อไป
ส่วนรูปแบบความเป็นจริงนั้น นายสุเทพจะประสบความสำเร็จได้รัฏฐาธิปัตย์เฉพาะหน้าก็ต่อเมื่อทหารทำการยึดอำนาจรัฐประหาร พรรคเพื่อไทยยอมแพ้ รัฐบาลลาออก แล้วได้รัฐบาลพระราชทาน จากนั้นนายสุเทพก็ตั้งสภาประชาชน คำพิพากษาและคำวินิจฉัยจากองค์กรอิสระบวกกับศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือศาลปกครอง ลงโทษนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นจริง คือกลุ่มจารีตได้รัฏฐาธิปัตย์แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป คำตอบคือ จะเกิดการปฏิวัติประชาชนที่แท้จริงที่นำไปสู่การเมืองการปกครองที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงขึ้นแน่นอน
นายสุเทพประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ
การเคลื่อนไหวปิดกรุงเทพฯของนายสุเทพจะทำให้ประเทศชาติล่มจม นี่หรือคนที่คิดจะปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ไปในทางที่ดี ให้ได้ประชาธิปไตยสมบูรณ์ แค่เริ่มต้นก็เป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบแล้ว การปิดกรุงเทพฯจะทำให้คนทุกกลุ่มต้องได้รับความเดือดร้อน ขาดรายได้ ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถตู้ ยังไม่ได้พูดถึงประชาชนทั่วไปที่จะต้องได้รับความเดือดร้อนไม่ต่ำกว่า 8 ล้านคน ที่สำคัญภาพลักษณ์ของประเทศจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อมั่น กระทบการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ ขนส่ง ธุรกิจต่างๆ
วิธีคิดของนายสุเทพไม่ต่างกับการทำให้กรุงเทพฯคล้ายกับสงครามกลางเมือง ไม่ใช่แค่ทำให้คน 13 ล้านคนเดือดร้อน แต่ทำให้เศรษฐกิจ สังคมของประเทศกระทบด้วย ที่สำคัญคนที่ไม่เห็นด้วยเกิดโมโหขึ้นมาก็จะออกมาเคลื่อนไหว เหมือนอย่างที่กลุ่มศิลปวัฒนธรรม ANTs’ POWER จัดกิจกรรมรวมพลคนไปเลือกตั้ง นี่เพิ่งยกที่ 1 ถ้านายสุเทพจะปิดกรุงเทพฯยาวนานแบบสงครามทุบหม้อข้าวแล้วคนกรุงเทพฯจะทนได้หรือ นี่คือการเคลื่อนไหวของ กปปส. และกลุ่มต่อต้าน นี่ไม่ได้พูดถึง นปช. นะ เอาเป็นว่า นปช. จะต่อต้านกันในจังหวัดทุกจังหวัดยกเว้นภาคใต้ เราจะใช้วิธีการเดินขบวนแล้วจัดเวที 3 ภาคก่อนเพื่อคุมเชิงว่ากบฏสุเทพจะทำอย่างไร
ขณะที่สถานการณ์ในด้านอื่นๆเราก็เป็นห่วงเรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเรื่องอะไรต่อมิอะไร เพราะสถานการณ์มีแนวโน้มที่แปลว่าเขาต้องการให้ฉีกกติกาทิ้งและทำอะไรก็ได้เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้ง ความจริงรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เราเกลียดนะ แต่ถ้าไม่มีอะไรสักอย่างเป็นกติกาแล้วประเทศนี้จะอยู่กันอย่างไร คุณทำได้ฉันก็ทำได้ ทำไมคุณทำได้ข้างเดียวล่ะ ปัญหาก็ไม่มีวันจบสิ้น อย่างไรก็ตาม กกต. ไม่ใช่เป้าหมายที่เราไปโจมตี แต่ขอให้ กกต. รู้หน้าที่ของตัวเอง มีหน้าที่ต้องจัดการเลือกตั้งให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ ไม่ใช่มาประวิงเวลาหรือยักท่าเพื่อไม่ให้การเลือกตั้งบรรลุ
ถ้าหาก กกต. ถึงขนาดลาออกเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. ก็ต้องสรรหาใหม่ รัฐบาลชุดนี้ก็อยู่รักษาการต่อไป เอากันอย่างนี้แหละ บ้าก็บ้ากันอย่างนี้แหละ เพราะตามรัฐธรรมนูญมันเลื่อนการเลือกตั้งไม่ได้ ถ้าเลื่อนก็เท่ากับฉีกรัฐธรรมนูญ การฉีกรัฐธรรมนูญมีอย่างเดียวคือ กองทัพทำรัฐประหาร
เราต้องยอมรับว่า กปปส. มีเครือข่ายกลุ่มจารีตนิยมมากมาย เช่น การแสดงตัวของ กกต. ซึ่ง กปปส. ทำตัวเป็นกองหน้าออกมาสร้างความวุ่นวาย แต่มีตัวช่วยเต็มไปหมด ที่สำคัญกองทัพก็เป็นตัวช่วยอันหนึ่ง แต่เป็นตัวช่วยที่อยู่ข้างหลัง ไม่แสดงออก
หลายฝ่ายเป็นห่วงจะเกิดรัฐประหาร
ขอยืนยันว่า ปีนี้ นาทีนี้ การที่ทหารจะทำรัฐประหารไม่ง่ายเหมือนในอดีตแล้ว เพราะขณะนี้ประชาชนไม่เหมือนเดิมแล้ว มีจิตใจในการต่อสู้และเสียสละมากกว่าในอดีต โดยเฉพาะคนเสื้อแดงเขาไม่ยอม ขอรับรองว่าถ้ารัฐประหารไม่เหมือนเดิมแน่นอน ประชาชนจะลุกขึ้นสู้ ไม่ยอมแล้ว คือดูเหมือนเก่า แต่ขณะนี้ประชาชนมีพัฒนาการในระดับที่สูงขึ้น รัฐประหารจะทำอะไรสูงขึ้นมันเป็นไปไม่ได้ เท่าที่ดูเชื่อว่ากองทัพเองคงไม่อยากทำรัฐประหาร เขาอยากให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้อำนาจโดยที่เขาไม่ต้องทำรัฐประหาร กองทัพถึงอยู่เฉยๆไง ความจริงกองทัพต้องให้การสนับสนุนรัฐบาล แต่นี่เขาบอกว่ากองทัพต้องเป็นกลาง มันมีที่ไหน
ทหารก็เหมือนกับข้าราชการพลเรือน สมมุติว่าทุกกระทรวงบอกว่าผมขอเป็นกลาง ผมไม่ขอรับฟังคำสั่งคุณ นี่คือแบบที่นายสุเทพต้องการคือ ข้าราชการกระทรวงต่างๆไม่รับฟังคำสั่งรัฐบาล ขณะนี้คนที่ไม่รับฟังคำสั่งรัฐบาลมีกองทัพรวมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นสถานการณ์ในขณะนี้กองทัพมันก็ไปอยู่แล้วโดยไม่รับฟังและไม่เป็นเครื่องไม้เครื่องมือของรัฐบาล ยกตัวอย่างวาทกรรมของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่เคยพูดว่ารัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร ก็อยู่ในบทพิสูจน์มาโดยตลอดว่าม้าไม่ได้เป็นของจ๊อกกี้ ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่ากองทัพจะไปสนับสนุน กปปส. เพราะเป็นม้าคอกเดียวกัน
สถานการณ์รัฐบาลน่าเป็นห่วง
เมื่อท่าทีและบทบาทของกองทัพที่แสดงออกเป็นอย่างนี้ทำให้รัฐบาลรักษาการอยู่ในภาวะที่ไม่มีความมั่นคง เพราะรัฐบาลที่มั่นคงจะต้องมีกลไกรัฐอุ้มชูอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีความผิดพลาดและมีการยุบสภาหรือลดทอนอำนาจตัวเอง ความไม่มั่นคงก็จะยิ่งมากขึ้น เพราะเครื่องมือและกลไกที่สร้างความชอบธรรมนั้นได้หายไปแล้ว ขอฝากไปถึงกองทัพว่า บทเรียนการทำรัฐประหารในประเทศไทย อย่างล่าสุดที่มีการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549 มีบทเรียนมากเกินพอ รวมทั้งใช้กำลังในการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน
ขณะนี้ นปช. ได้รณรงค์ “หยุดรัฐประหาร ต่อต้านกบฏ” มีเป้าหมายในการโจมตี 2 เป้าหมาย แต่รวมกันก็ถือว่าเป็นเป้าหมายเดียวคือ เราต้องหยุดรัฐประหาร เพราะประเทศไทยมีรัฐประหารมากเกินไปแล้ว ฆ่าคนตายมามากพอแล้ว พอกันที ต้องหยุดรัฐประหารในประเทศไทยไม่ให้มีอีก นอกจากนี้เราจะต่อต้านกบฏ ขณะนี้กบฏสุเทพ กปปส. ได้ทำร้าย ทำลายประเทศไทยมามากเกินพอแล้ว ขอให้พี่น้องประชาชนไทยลุกขึ้นมาต่อต้านกบฏ ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อให้การเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. เกิดขึ้นให้เรียบร้อยให้ได้
ขอย้ำอีกครั้งว่าการต่อต้านรัฐประหารครั้งนี้ก็เพื่อให้การรัฐประหารในประเทศไทยจบสิ้นไป และไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกต่อไป แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงก็ต้องทำให้จบ ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป และที่ดีที่สุดกับทุกฝ่ายก็คือ อย่าเกิดรัฐประหารจะดีกว่า นปช. จึงอยากส่งสัญญาณไปถึงกองทัพให้รู้ว่า ประชาชนคนไทยทั้งประเทศไม่ต้องการให้มีรัฐประหารในประเทศไทยอีกต่อไป ขอย้ำอีกครั้งว่าถ้ามีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก เราจะต่อต้านอย่างถึงที่สุด และท่านจะต้องเจ็บปวดทั้งตัวเองและวงศ์ตระกูลต่อไป
ที่มา โลกวันนี้วันสุข