โดยเน้นย้ำว่า คนที่ไม่เห็นด้วยนั้น มีมุมมองที่ควรเคารพและรับฟังอย่างยิ่ง
นับตั้งแต่ การนำเอาร่างพ.ร.บ.ฉบับเดิมซึ่งดีอยู่แล้ว คือนิรโทษกรรมให้เฉพาะกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง และจำนวนไม่น้อยต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในเรือนจำ
กลับเอาไปปรับแก้ในกรรมาธิการ ขยายไปครอบคลุมทั่วทั้งหมด เป็นพฤติกรรมที่เริ่มต้นไว้อย่าง ทำไปทำมากลายเป็นอีกอย่าง อันไม่ควรยอมรับนับถือ
ขณะเดียวกัน ในฐานะที่ ข่าวสด เป็นหนังสือพิมพ์ที่ติดตามขุดคุ้ยค้นหาความจริงในเหตุการณ์ปราบปรามการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 อย่างเกาะติด
ได้นำเสนอภาพข่าวและพยานหลักฐานต่างๆ อันบ่งชี้ว่า เป็นเหตุการณ์นองเลือดทางการเมืองที่มีประชาชนล้มตายมากที่สุด เมื่อรวมกับเจ้าหน้าที่ทหารอีกส่วนหนึ่งแล้ว มีคนตายถึง 99 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 2 พันราย
ความตายของประชาชนที่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างมากมายเช่นนี้ สื่อมวลชนจะเพิกเฉยไม่ได้
ข่าวสด ยังตีแผ่ให้เห็นว่า ประชาชนร่วมร้อยที่ถูกยิงตาย ไม่มีศพใดเลยที่มีอาวุธอยู่ในมือ ไม่มีใครเลยที่เป็นชายชุดดำ ดังนั้นข้ออ้างของผู้มีอำนาจในเหตุการณ์เมื่อปี 2553 จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ไม่อาจกลบเกลื่อนความผิดและความรับผิดชอบได้
ยิ่งล่าสุด เมื่อคดีนี้ผ่านขั้นตอนการไต่สวนชันสูตรศพในชั้นศาล จนกระทั่งศาลได้มีคำสั่งชี้ผลการไต่สวนออกมาแล้วว่า เสียชีวิตด้วยกระสุนปืนจากเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งปฏิบัติการภายใต้คำสั่งของศอฉ. หรือตายด้วยกระสุนปืนจากฝั่งเจ้าหน้าที่ จำนวน 14 ราย
อันเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานตั้งเป็นสำนวนคดีอาญา ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือก สุบรรณ ผู้มีอำนาจในศอฉ.
กลายเป็นคดีอาญา กระทั่งอัยการได้พิจารณาสำนวนและพยานหลักฐานเหล่านี้แล้ว ได้มีความเห็นสั่งฟ้องบุคคลทั้งสอง
ทำให้คดีคืบหน้าไปสู่ขั้นตอนสำคัญ คือ กำลังจะนำเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลแล้ว
ดังนั้น ข่าวสด จึงเห็นว่า หากใช้ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง จะมีผลให้การพิสูจน์ความจริง หาตัวผู้สั่งการผิดพลาดจนประชาชนล้มตายร่วมร้อยศพดังกล่าว ต้องพลอยยุติไปด้วย
คดีซึ่งกำลังจะถือเป็นประวัติศาสตร์ในการทวงความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่ต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งถูกผู้มีอำนาจปราบปรามอย่างเกินความจำเป็น และผิดหลักสากล ควรจะเป็นคดีในทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยอย่างแท้จริง
เพื่อเป็นบทเรียนให้กับผู้มีอำนาจที่ไม่เห็นประชาชนคนรากหญ้าอยู่ในสายตา
ไม่เท่านั้นยังพบว่า ร่างพ.ร.บ.นี้จะกลายเป็นชนวน ให้ฝ่ายที่เห็นต่างอย่างสุดโต่งรุนแรง ใช้เป็นเงื่อนไขในการสร้างความวุ่นวายต่อบ้านเมือง อันไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย
จึงเห็นว่า สมาชิกพรรคการเมืองและสมาชิกสภา ควรร่วมมือกันยุติการผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับเหมาเข่งดังกล่าว เพื่อคลี่คลายบรรยากาศในบ้านเมือง
เพื่อให้คดี 99 ศพเดินหน้าไปจนสุดซอย!
ที่มา ข่าวสด