ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมถูกวุฒิสภาลงมติเอกฉันท์ฝังเข่งไปแล้วเรียบร้อย
ในจังหวะขานรับเป็นทอดๆ สภา ผู้แทนฯ ดำเนินการถอนร่างกฎหมายลักษณะเดียวกันที่ค้างวาระพิจารณาอีก 6 ฉบับออกไปจนหมด
ด้านรัฐบาลและพรรคร่วมก็พร้อมใจปลดชนวน
ลงสัตยาบันยืนยันเป็นสัญญาประชาคม จะไม่นำร่างดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาอีกแม้จะผ่านพ้นช่วงเวลา 180 วันไปแล้วก็ตาม
แต่ม็อบราชดำเนินที่มีนกหวีด เป็นสัญลักษณ์ มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รวมทั้งอดีตส.ส.และส.ส.ประชาธิปัตย์อีกจำนวนหนึ่งเป็นแกนนำ
ยังประกาศเดินหน้าชุมนุมต่อไป
นายสุเทพประกาศยกระดับการชุมนุมแล้ว 3 ครั้ง
ครั้งแรก คือ การเคลื่อนขบวน ผู้ชุมนุมจากสามเสนมาปักหลักยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 พ.ย. นายสุเทพขอมติผู้ชุมนุมที่อุปโลกน์เป็น?ศาลประชาชน" ตัดสินเดินหน้าสู้ต่อไป ท่ามกลางหลายคนที่ยังสับสนใน เป้าหมายการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ก็ตาม
นายสุเทพประกาศมาตรการ ?อารยะขัดขืน" 4 ข้อ ประกอบด้วย
ให้บริษัทเอกชนและสถาบันการศึกษา หยุดงานและหยุดการเรียนการสอนวันที่ 13-15 พ.ย.
ให้นักธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้าซึ่งอยู่ในช่วงการชำระภาษีกลางปี ชะลอการชำระภาษีดังกล่าว
ให้ประชาชนพกธงชาติและนกหวีดติดตัว และหากพบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ให้เป่านกหวีดใส่ทันที
นายสุเทพยังประกาศนำทีมสมาชิกพรรค 8 คนลาออกจากส.ส. คือ นายถาวร เสนเนียม นาย อิสสระ สมชัย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายวิทยา แก้วภราดัย นายชุมพล จุลใส นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
เพื่อออกมาร่วมนำม็อบเต็มตัว
ทว่า มาตรการอารยะขัดขืนดังกล่าว เป็นการ ยกระดับที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง
เนื่องจากร่างพ.ร.บ.เหมาเข่งถูกวุฒิสภาขุดหลุมฝังไปเรียบร้อยแล้วก่อนอารยะขัดขืนเริ่มต้นเสียด้วยซ้ำ
ผู้ชุมนุมบางส่วนที่มีจุดยืนเป้าหมายแจ่มชัด เริ่มฉุกคิด รู้สึกเห็นตรงกันว่าเมื่อร่างเหมาเข่งตายสนิทแล้วตามเงื่อนไขข้อเรียกร้อง
เรื่องก็ควรจบเสียที
การที่แกนนำฝ่ายการเมืองพยายามนำพลังบริสุทธิ์ของประชาชนเรือนหมื่นออกมาใช้
ไปตีขลุมเหมารวมว่าเป็นการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล หรือเรื่องใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม
จึงไม่ใช่เรื่องถูกต้อง
สิ่งสะท้อนว่าสังคมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจรัฐ ที่นายสุเทพหวังใช้เป็นไม้ตายกดดันรัฐบาล
จนกลายเป็นบูมเมอแรงหมุนวนกลับมาหาตัวเอง
นอกจากปริมาณผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ค่อยๆ ลดระดับจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด
มาตรการอารยะขัดขืนยังถูกกระหน่ำคัดค้านจากบรรดาภาคองค์กรธุรกิจ ไม่ว่าสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก
ต่างมีความเป็นห่วงตรงกันว่า การชุมนุมที่บานปลายยืดเยื้อออกไปแทนที่จะหยุดอยู่แค่พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีความสุ่มเสี่ยงทำให้เศรษฐกิจการค้าการลงทุนของประเทศเสียหายอย่างมาก
ขณะที่ภาครัฐวิสาหกิจ ตลอดจนสถาบันศึกษาและมหาวิทยาลัยหลายแห่งต่างแสดงจุดยืนในนามองค์กร ไม่ขอมีส่วนร่วมกับอารยะขัดขืนตามคำสั่งนายสุเทพ
ด้วยเพราะเห็นว่ามาตรการดังกล่าวจะไม่เกิดผล กระทบใดๆ ต่อรัฐบาล แต่ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงคือนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป
ต้องแบกรับผลร้ายที่ตามมาด้วยตัวเองโดยฝ่ายการเมืองตัวต้นคิดไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
กระนั้นก็ตามการที่มาตรการอารยะขัดขืน กลายเป็นมุขแป้ก ไม่ได้สร้างความท้อถอยให้แกนนำผู้ชุมนุมแต่อย่างใด
นายสุเทพยังคงถือคติความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ประกาศเดินหน้ายกระดับการชุมนุมอีกครั้งเมื่อวันที่ 15 พ.ย.
โดยครั้งนี้สั่งระดมจากต่างจังหวัด ส่วนใหญ่มา จากภาคใต้ ส่วนในกรุงเทพฯ มีการสั่งการผ่านเครือข่ายนักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นระดมครบทั้ง 50 เขต
ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร
นายสุเทพประกาศเป็นนัยว่าการชุมนุมจะดำเนินไปต่ออีกไม่นาน
ภายในสิ้นเดือนนี้น่าจะ?ปิดเกม"ได้
คําประกาศของนายสุเทพ ทำให้เกิดการวิเคราะห์กันยกใหญ่ว่าอะไรคือสาเหตุ
ได้รับสัญญาณอะไรมาหรือไม่
เรื่องนิรโทษกรรมกับเรื่องปราสาทพระวิหารนั้น ตัดออกไปได้ เพราะในทางปฏิบัติทั้ง 2 เรื่องผ่านจุดวิกฤตไปแล้ว ไม่เหลือปมให้ขยายต่อได้อีก
ฉะนั้นสิ่งที่ใครต่อใครหลายคน รวมถึงกลุ่มนปช.คนเสื้อแดงที่เดินสายจัดชุมนุมใหญ่แสดงพลังปกป้องรัฐบาลอยู่ในตอนนี้ คาดการณ์กันไว้ก็คือ
ท่าทีนายสุเทพ น่าจะเกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นคำร้องคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาส.ว. ซึ่งจะรู้ผลชี้ขาดกันในวันที่ 20 พ.ย.ว่า
พรรคเพื่อไทยจะถูกยุบพรรครอบ 3 หรือไม่
ทั้งยังอาจมีส่วนโยงใยไปถึงกรณีเครือข่ายแนวร่วมต่อต้านรัฐบาล ที่จู่ๆ ก็ออกมาจุดพลุเปิดประเด็น?นายกฯ มาตรา 7" และการยื่นถวายฎีกาจัดตั้ง?สภาประชาชน"
รวมถึงศึกซักฟอกรัฐบาลที่พรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติต่อประธานสภาไว้แล้ว เป้าหมายอยู่ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ กับนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย
คาดว่าจะเปิดอภิปรายได้ช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนสภาปิดสมัยประชุมปลายเดือน
หากวัดกันที่น้ำหนักความน่าตื่นเต้นเร้าใจ น่าจะมุ่งไปยังเรื่องแรกคือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมากกว่า ส่วนการอภิปรายซักฟอก ฝ่ายค้านน่าจะแค่พอทำเป็นพิธี
เพราะที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนแล้วว่า
มุ่งล้มรัฐบาลด้วยวิถีนอกสภา มากกว่าจะ "เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา"
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช. ประเมินว่าผลตัดสินศาลรัฐธรรมนูญน่าจะออกมาใน?ทางบวก" สำหรับรัฐบาล
บังเอิญตรงกับข้อมูลวงในล่าสุดที่ว่า
ศาลรัฐธรรมนูญจะยึดแนวทางเดียวกับศาลโลกที่วินิจฉัยคดีปราสาทพระวิหาร
นั่นคือผลคำตัดสินนอกจากเป็นส่วนสำคัญในการช่วยคลี่คลายวิกฤตชาติบ้านเมืองแล้ว
ต้องไม่เป็นการซ้ำเติมสุมไฟความขัดแย้งหรือเป็นชนวนก่อความแตกแยกรอบใหม่ขึ้นมาในสังคมเสียเอง
ที่มา ข่าวสด