แถลงข่าวนปช.แดงทั้งแผ่นดินประจำวันพุธที่ 13 พ.ย. 2556




ทีมข่าว นปช.
13 พฤศจิกายน 2556


วันที่ 13 พ.ย. เมื่อเวลา13.00 น.ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพิเรียลลาดพร้าว กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)แถลงข่าวประจำสัปดาห์

 แถลงข่าวนปช.แดงทั้งแผ่นดินประจำวันพุธที่ 13 พ.ย. 2556

ชมคลิป



อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ(นปช.)กล่าวว่า 

ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวอ.วรพล พรหมมิกบุตร ซึ่งเป็นนักวิชาการส่วนน้อยที่อยู่เคียงข้างประชาชนคนเสื้อแดงตั้งแต่หลังรัฐประหาร ปี 2549 จนวาระสุดท้ายของชีวิต และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้จากวิกฤตการณ์ต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนขยายตัวไปล้มรัฐบาลและลามปามไปจะล้มระบอบประชาธิปไตย นปช.เห็นว่าต้องเข้ามาแก้วิกฤต ให้เป็นโอกาสที่เหมาะสม  เพราะรัฐบาลทำดีที่สุด คือถอยอย่างสุดทางแล้ว มีแต่พรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ยอมจบ ถือเป็นการฉวยโอกาสล้มรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง

อ.ธิดากล่าวต่อว่า ข้อเรียกร้องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ให้วันที่ 13-15 พ.ย. เป็นวันหยุดงาน หยุดเรียน เพื่อมาชุมนุม ถือเป็นการเหิมเกริมเป็นอย่างมาก เราขอเรียกร้องต่อผู้ใช้แรงงานว่ามีรัฐบาลไหนที่ขึ้นค่าแรงให้พวกท่านถึง 300 บาทบ้าง พรรคที่เรียกท่านออกมาชุมนุม เคยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ท่านดีขึ้นหรือไม่ และรัฐวิสาหกิจที่โกรธแค้นรัฐบาลเพื่อไทย ทราบหรือไม่ว่าที่ท่านออกมาต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น ต้นต่อเกิดจากพรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินนโยบายเสรีนิยมใหม่ตามไอเอ็มเอฟ และฝากไปถึงโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่เหล่าอาจารย์และอธิการบดีออกมาต่อต้านรัฐบาลต่อว่า รัฐบาลก็ถอนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมไปแล้ว พวกท่านยังมความชอบธรรมอะไรในการออกมาต่อต้านอีก ส่วนการบอกให้พ่อค้า-นักธุรกิจ ชะลอการจ่ายภาษี เพื่อรัฐบาลไม่สามารถนำภาษีออกมาใช้ได้ โปรดทราบว่าท่านทำผิดกฎหมายแน่นอน และการที่ให้ทุกบ้านปักธงชาติไทยไว้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านรัฐบาล เหมือนที่พันธมิตร นำสีเหลืองมาเป็นสัญลักษณ์ หรือการเป่านกหวีดใส่หน้านายก รองนายก หรือรัฐมนตรีนั้นเป็นเรื่องเลอะเทอะ ตอนนี้ความไม่ชอบธรรม ตกอยู่ที่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์เพราะพ.ร.บ.นิรโทษกรรมจบไปแล้ว การลาออกของ 9 ส.ส. ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีการเลือกตั้งซ่อมใหม่ แต่พี่น้องโรดจับตาดูว่าเขากำลังรอดูวันที่ 20 พ.ย.  ซึ่งมีปมศาลรัฐธรรมนูญ กับปปช. รวมทั้งปัญหาเรื่อง 3.5 แสนล้าน และ 2ล้านล้าน ที่ยังไม่ได้ถูกยกมา

“ขอให้พวกเราเข้าใจว่า นอกจากพรรคประชาธิปัตย์ต้องการล้มรัฐบาล แต่อีกม็อบหนึ่ง ต้องการล้มระบอบประชาธิปไตย โดยไปยื่นขอสภาประชาชนพระราชทาน หมายความว่าคุณกำลังปฏิเสธอำนาจของประชาชน เป็นการถอยหลังไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เราเชื่อว่าคนไทยทั้งหมดรักพระเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวไม่ต้องการใช้พระราชอำนาจไปในทางที่ผิด เราหวังว่าคนเสื้อแดงจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ และขอใช้เวทีนี้ต่อต้านทั้งการล้มรัฐบาลและขอสภาประชาชนพระราชทาน ทั้งสองกรณี” ประธานนปช.กล่าว



 คุณจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช)

กล่าวว่า ในสถานการณ์การเมืองซึ่งในขณะนี้พรรคประชาธิปปัตย์ มีความหวังเหลือเพียงหนี่งเดียวเท่านั้น คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 20 พ.ย.ซึ่งส่งเสียงออกถึงการ ลาออกของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งจะไม่มีการการเลือกตั้งซ่อมโดยเด็ดขาด นั่นก็คือว่า รัฐบาล รัฐสภาชุดนี้ จะมีอันเป็นไปตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.นี้เป็นต้นไป ทั้งนี้คุฯจตุพร ได้มีการประเมินสถานการณ์ตั้งแต่ที่ขอนแก่น จนถึงจ.เชียงใหม่ ว่าสิ่งที่เราไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ในศาลรัฐธรรมนูญนั้นก็เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกันหลายครั้ง และคนไทยที่ได้รับสัญญาณดีที่สุดจากศาลรัฐธรรมนูญ เขาชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล ถ้าจำกันได้ว่า ในสมัยคุณสมชาย วงสวัสดิ์ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ประกาศว่า จะไม่ยอมให้นายสมชาย วงสวัสดิ์ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งขณะนั้นพวกผมก็คิดว่า เขาจะไปปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้นายกเข้าเฝ้า

 แต่พวกผมคาดการณ์ผิด เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งกำลังพิจารณายุบพรรค 3 พรรคการเมือง พรรคชาติไทย กับพรรคมัชชิมานั้นได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญก่อนพรรคพลังประชาชนถึง 4 เดือนและก็มีบัญชีรายชื่อหลังจากมีการนัดพร้อม ที่ระบุบัญชีพยาน ผมเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในบัญชีพยานของพรรคพลังประชาชน แต่ปรากฏว่า ก่อนวันที่ 2 ธ.ค.เพียงไม่กี่วันก็มีการทำหนังสือแจ้งว่า ขอตัดพยานทุกปากออกไปและก็ให้มีการแถลงปิดคดี ในวันที่ 2 ธ.ค.ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เราก็ได้มีการชุมนุมที่ลานคนเมืองเพื่อมีการเตือนสติ

ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. มาถึง ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีย้ายที่ ให้มีการแถลงปิดคดีที่ศาลปกครองซึ่งมีเขตอำนาจศาล พรรคพลังประชาชนซึ่งนายกสมชายต้องทำหน้าที่ประชุมครม.และก็ตัดสินใจไม่แถลงปิดคดี นายบรรหาร ศิลปะอาชา นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้า2พรรคการเมือง ได้แถลงปิดคดีด้วยน้ำตานองหน้า แถลงเสร็จเที่ยง บ่ายอ่านคำตัดสิน ทั้งที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเขียนคำวินิจฉัยส่วนตัวก่อน และจึงจะเขียนคำวินิจฉัยกลาง ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเร่งรีบ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ธุรการหน้าห้องของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เขาได้ทำจดหมายเปิดผนึกไปยังประธานรัฐสภา ไปยังนายกรัฐมนตรีและระบุความอย่างชัดเจนว่า การเขียนคำยุบพรรค 3 พรรคการเมืองนั้นได้ดำเนินการในคืนวันที่ 1 ธ.ค. ที่โรงแรมปาร์ค ไลเนอร์ เขียนคำวินิจฉัยไว้ล่วงหน้า และแถลงปิดคดีตามหลังเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว แล้วเวลาบ่ายโมงก็ประกาศยุบพรรค 3 พรรคการเมือง พันธมิตรซึ่งยึดทำเนียบ สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ก็ได้ถอนตัวออกมา ท้ายที่สุดมีการย้ายขั้วสลับข้างจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร เจ็บเป็นเหตุตาย100ศพ บาดเจ็บ 2,000 ถูกคุมขังอีกนับไม่ถ้วน

และถ้าพี่น้องจำความกันได้ ในเดือนพ.ค.ปี 2555 ที่มีการเสนอข้อบัญญัติปรองดองเข้าสภา ที่ถูกหลอกอย่างชัดเจน หลอกให้รัฐบาลตายใจ และบอกให้พวกนั้นเตรียมตัว สนธิ ลิ้มทองกุลประกาศอย่างชัดเจนหน้าสภาว่า อีกสักครู่เดียวจะมีข่าวดีจากศาลรัฐธรรมนูญ นั่นคือมีการยื่นให้มีการตีความการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อมีสสร.เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามมาตรา 68 มาตรา68 ศาลรัฐธรรมนูญระบุในเวปไซค์และหยังสือของตัวเองว่า จะต้องมีการยื่นผ่านอัยการสูงสุดเท่านั้น แต่ปรากฏว่ากรณีนี้ได้ขยายขอบเขตอำนาจขึ้นมา สนธิก็ได้ข่าวดีนั้นจริงๆก็เลยยุติการชุมนุมและก็ท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีการวินิจมาตรา 291 แม้ว่าจะไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองแต่เขียนให้เกิดความสับสนจนไม่มีใครกล้าโหวดในวาระ 3 ที่เราเคยมีความเห็นต่างในเรื่องประชามติ เพราะว่า หนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นได้มาพูดกับซีกรัฐบาล  และก็ฝ่ายตุลาการสนับสนุนให้มีการทำประชามติ เพราะว่าเมื่อทำผิดผิดรัฐธรรมนูญ ทำผิดว่าด้วยกฎหมายประชามติคนวินิจฉัยจะไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญแต่จะเป็นศาลปกครอง

 เราได้มีการแสดงจุดยื่นที่มีความเห็นที่แตกต่าง ถ้าวันนั้นไปทำการดังกล่าวปานนี้รัฐบาลก็ได้พังมาตั้งแต่ต้นแล้ว มากรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน เราเองก็เห็นว่าสถานการณ์ ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมพวกเราเองที่ซึมซับความรู้สึกนั้น เราต่างคนต่างทุกข์ โดยไม่ต้องถามว่าประชาชนรู้สึกอย่างไรกับการที่จะปลดปล่อยฆาตกรสองคนนั้น ซึ่งร้อยทั้งร้อยของคนเสื้อแดงนั้นมิอาจที่จะรับได้ เพราะฉะนั้นเราเองก็เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งไม่มีความชอบธรรม แต่เมื่อเกิดเรื่องมานั้นกลไกที่เขาเคยใช้ ก่อนการรัฐประหาร ก็คือตัวละครเดิมทั้งหมด ทุกคนจึงได้ออกมาพร้อมกับผู้กำกับการแสดง มีการออกแบบการบริหารการออกสื่อเราต้องยอมรับว่าเขาได้ดำเนินการสำเร็จเกือบจะแล้วเสร็จ จนกระทั้งนายสุเทพ นายอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์เครือข่ายอำมาตย์นึกว่าทำสำเร็จแล้ว เพราะเวลานั้นพวกเราจะพรรคเพื่อไทยอยู่ระหว่างการระหองระแหง แต่ว่าท้ายที่สุดพวกเราเองก็ได้มีการประเมินสถานการณ์กันว่า จะอย่างไรก็ตามเรากับพรรคประชาธิปปัตย์ไม่อาจเดินร่วมทางกันได้และถ้าหากปล่อยให้พวกนี้ล้มรัฐบาลทามกลางกระแสสังคมยกย่องให้นายอภิสิทธิ์และสุเทพเป็นวีรบุรุษนั้น เราจะต่อสู้ด้วยความยากลำบาก ท้ายที่สุดจะตกลงด้วยความตายของพี่น้องประชาชน

ดังนั้น เมื่อทางนายกรัฐมนตรีได้นัดหมายผมกับณัฐวุฒิซึ่งเป็นไปด้วยความรวดเร็วอย่างมากและได้มีการหารือกันหลายฝ่ายและก็ได้เห็นภัยว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ผมเองเรื่องที่ใหญ่ที่สุดหรือเรื่อง “ประชาธิปไตย”แล้ววันที่มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีได้ประกาศถอยร่างนิรโทษกรรมเป็นที่เรียบร้อย ถ้ายังไม่ถอยร่างนิรโทษกรรมผมไม่มีวันจะไปคุยด้วยเด็ดขาด นั่นแปลความกันว่า  สุเทพและอภิสิทธิ์ต้องตกเป็นจำเลยฐานฆ่าคนตาย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงปิดสมัยประชุมวันที่ 28 พวกผมก็จะไปขึ้นศาลกันตามปกติ ต่อสู้ทางกระบวนการยุติธรรม เพราะฉะนั้นการพูดคุยเพื่อให้เห็นประชาธิปไตยในวันข้างหน้า เพราะถ้าฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์เดินด้วยฐานะวีรบุรุษนั้น นายอภิสิทธิ์และสุเทพก็จะกลับมามีอำนาจอีกครั้งและที่สำคัญคนลืมความตาย100 ศพคนลืมคนบาดเจ็บ 2,000 เราใช้สถานการณ์เดินแบบนี้ไม่ได้ ก็ขอเชิญชวนพี่น้องคนเสื้อแดงให้ออกมาถึงแม้เราเราจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้างแต่นั่นก็คือครอบครัวเดียวกัน ถ้ามีครอบครัวไหนมีความเห็นเหมือนกันหมดนั่นคือครอบครัวเผด็จการ และผมเองก็เคยพูดไว้ว่า “คนเสื้อแดงไม่ใช่ของตายของพรรคเพื่อไทย” มีชีวิตมีจิตใจ เห็นอะไรว่าถูกก็บอกว่าถูก ผิดก็คือผิด เหมือนกรณีร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพราะนี่คือการอยู่กันอย่างฉันมิตร ซึ่งเราก็ต้องร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย เพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตย

และะเมื่อวานที่มีการยื่นฎีกาขอสภาพระราชทาน ก็เกิดจากสนธิกับจำลองออกมาแถลงว่าต้องหยุดวงจรนักการเมืองไป 3 ปี สิ่งที่เขาหวังคือวันที่ 20 พ.ย. ถ้ามีคำวินิจฉัย ถอดถอน ส.ส. ส.ว. 312  คนพ้นจากตำแหน่ง ตามด้วยการยุบพรรค ภายในสัปดาห์นี้ถึงสัปดาห์หน้า พรรคประชาธิปัตย์จะรีบยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ทำให้รัฐบาลยุบภาไม่ได้ พอ 312 ถูกถอดถอนแล้ว ในสภาจะมีแต่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และส.ว.สรรหา จะเกิดสุญญากาศทางการเมือง ตามที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามทำมาโดยตลอด

คุณจตุพรกล่าวต่อว่า  ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจไปก้าวก่ายการทำงานของรัฐสภา และการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากที่มีส.ว.สรรหามาเป็นเลือกตั้งทั้งหมด ทำให้บ้านเมืองมีความเป็นประชาธิปไตย  แต่ประชาธิปไตยจะไปตัดวงจรระหว่างเครือข่ายอำมาตย์ที่อยู่ในองค์กรอิสระ กับส.ว.ที่อยู่ในสภา และ ส.ว. 40 คนที่มาจากการสรรหา ทำตัวเป็น ส.ว. ของพรรคประชาธิปัตย์  หากคนเสื้อแดงไม่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน จะมีข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอีกหลายคนเข้าไปสมทบกับม็อบ การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมาทำให้กระแสสังคมลดลงมา สำหรับการนัดชุมนุมใหญ่คาดว่าจะเป็นวันที่ 18-20 พ.ย. นี้ที่เมืองทองธานี ขอให้พี่น้องเตรียมตัวกันให้พร้อม เพื่อมานั่งฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญพร้อมกันในวันที่ 20 พ.ย.
 
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวว่า สถานการณ์จะสงบได้เลยขึ้นอยู่กับอัยการสูงสุด (อสส.) จะลงมือหรือไม่ อสส.เคยบอกว่าจะรอนายสุเทพ เทือกสุบรรณ วันที่ 20 ธ.ค. หลังปิดสมับประชุมรัฐสภา แล้วค่อยส่งตัวดำเนินคดี แต่ตอนนี้นายสุเทพไม่ได้เป็นส.ส.แล้ว อสส.ควรออกหมายเรียกนายสุเทพ ภายใน 24 ชั่วโมง ขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาล แล้วอสส.จะกลายเป็นวีรบุรุษผู้มาสยบวิกฤตทางการเมือง ส่วนเรื่องที่ศาลปกครองยังไม่พิจารณาคำสั่งของรมว.กลาโหมที่สั่งให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะออกจากราชการทหาร ว่าเป็นคำสั่งที่เกี่ข้องกับวินัยทางการทหารหรือไม่ เหตุใดจึงยังไม่พิจารณาเสียที ทั้งๆที่มีคำสั่งไปตั้งแต่ ปี 2555 แล้ว แต่กับกรณีนายถวิล เปลี่ยนสี ที่ร้องต่อศาลปกครองในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึงพิจารณาได้อย่างรวดเร็วทั้งๆที่มีถ้อยความที่ต้องพิจารณามากกว่า  และอยากถามศาลรัฐธรรมนูญว่าใช้อำนาจอะไรมาก้าวก่ายอำนาของรัฐสภาได้อย่างไรทั้งๆที่ รัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ส.ส. ส.ว. และรัฐสภา มีสิทธิ์แก้ไขรัฐธรรมนูญ