ทหารเบิกความ ไต่สวน2ศพแดง

ข่าวสด 16 ตุลาคม 2556


ทหารจากสระบุรีขึ้นศาล เบิกความไต่สวนการตาย 2 ศพเสื้อแดง เหยื่อปืน 16 พ.ค.53 ใต้ทางด่วนพระราม 4 พยาน ยืนยันใช้กระสุนซ้อมรบ ได้รับการฝึกควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักตามหลักสากล หากไม่ อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อชีวิต และร่างกายจะไม่ใช้กระสุนจริง มาทราบภายหลังว่ามีผู้ชุมนุมบาดเจ็บและตาย ด้าน "นพ.นิรันดร์" กรรมการสิทธิฯ เข้าเยี่ยม 25 นักโทษการเมืองคุกหลักสี่ รับปากจะช่วยประกันตัว

เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคำร้องคดีพนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิตของนายเกียรติคุณ ฉัตร์วีระสกุล และนายประจวบ ประจวบสุข ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณใต้ทางด่วน ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ ในเหตุ การณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชา ธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2553

โดยพนักงานอัยการเบิกตัวพยาน เป็นทหารยศจ.ส.ต. ประจำกองพันทหารม้าที่ 5 รักษาพระองค์ จ.สระบุรี เบิกความโดยสรุปว่า ในระหว่างการชุมนุมของนปช.เมื่อปี 2553 พยานมียศ ส.อ. ปฏิบัติหน้าที่เป็นพลสลับสาย กองสื่อสารกองพัน ช่วยงานด้านสวัสดิการ กองพันทหารม้าที่ 5 รักษาพระองค์ จ.สระบุรี ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้มาปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ 14-19 พ.ค.2553 ที่บริเวณถนนพระราม 4 โดยประจำอยู่ที่หน้าศูนย์รถยนต์วอลโว่

พยานเบิกความว่า วันที่ 16 พ.ค. พยานปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรตรวจการ มีอาวุธประจำกายเป็นปืนลูกซองยาว ใช้กระสุนซ้อมรบ เป็นกระสุนยาง ส่วนคนอื่นใช้กระสุนอะไรนั้นพยานไม่ทราบ ส่วนกระสุนจริงใส่ไว้ในลัง และผู้บังคับบัญชาเป็นคนถือกุญแจไว้ ในช่วงการชุมนุมวางกำลังบริเวณถนนพระราม 4 ทั้ง 2 ฝั่ง คือ หน้าสนามมวยลุมพินี และหน้าศูนย์รถยนต์วอลโว่ ใช้ลวดหนามและบังเกอร์กระสอบทรายวางไว้ทั้ง 2 จุด ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมวางแนวยางรถยนต์ขวางถนนตั้งแต่บริเวณปากซอยงามดูพลีไปในแนวยาว เป็นล็อกๆ ความสูงระดับหน้าอก และในแต่ละวันจะเพิ่มความสูงของแนวยางเรื่อยๆ

ทหารเบิกความต่อว่า ในวันดังกล่าวพยานไม่เห็นเหตุการณ์ใดๆ เพราะมีการเผายางและมีควันหนาทึบ ขณะที่มีการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร บุคคลสามารถเข้ามาในแนวของทหารได้แต่ต้องตรวจค้นอาวุธก่อน พยานทราบการตายของ นายเกียรติคุณและนายประจวบ หลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งให้ทราบ อีกทั้งก่อนปฏิบัติหน้าที่ พยานได้รับการอบรมการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมมาก่อน ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก และตามหลักสากล หากไม่อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและร่างกายจะไม่ใช้กระสุนจริง และขณะปฏิบัติหน้าที่พยานไม่ทราบว่ามีการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของ ผู้ชุมนุม แต่มาทราบภายหลัง

พยานเบิกความว่า ทราบว่ากลุ่มผู้ชุมนุม มาเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลาออกและยุบสภา ขณะที่การปฏิบัติงานภายใต้ผู้บังคับบัญชาของพยานนั้นจัดกำลังคนแบบไม่แน่นอน และในการฝึกซ้อมคุมฝูงชนซ้อมที่จ.สระบุรี มีขั้นตอนในการสลายการชุมนุม 3 ขั้น 7 ระดับ ระดับที่หนักที่สุดคือใช้กระสุนยาง เมื่อมีภัยอันตรายสามารถใช้กระสุนจริงได้ และเนื่องจากหน่วยของพยานใช้ปืนลูกซองยาวจึงยิงได้ทีละนัด และต้องยิงลงพื้นเท่านั้น

ทหารเบิกความอีกว่า พยานเห็นภาพบางส่วนจากสื่อ คาดว่าเป็นภาพทหารที่ปฏิบัติงานในการชุมนุมครั้งนี้ และในการขอคืนพื้นที่ พยานปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยระวังหลังโดยไม่ได้ขยับไปบริเวณด้านหน้า กระทั่งมีคำสั่งขอคืนพื้นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้รับคำสั่งไปประจำอยู่บริเวณหน้าบังเกอร์ โดยในการผลักดัน ผู้ชุมนุมมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค.เท่านั้น ส่วนจะมีเสียงรถพยาบาลเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมทุกวันหรือไม่นั้นพยานไม่ทราบ และไม่ทราบว่า ผู้ชุมนุมวางแนวยางรถยนต์เมื่อไหร่ แต่พยานเห็นแนวยางในเช้าวันที่ 15 พ.ค. และเมื่อผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมแล้ว ผู้ชุมนุมส่วนมากไปชุมนุมอยู่บริเวณใต้ทางด่วน ถนนพระราม 4 และหลังจากที่ถูกยิงแล้ว มีเจ้าหน้าที่ทหารคนอื่นถูกยิงอีกหรือไม่พยานไม่ทราบ

ภายหลังพยานเบิกความเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไปวันที่ 16 ต.ค. เวลา 09.00 น.

วันเดียวกัน ที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ นพ. นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) พร้อมด้วยนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม และนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 เข้าเยี่ยมนักโทษการเมือง

นพ.นิรันดร์กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นางพะเยาว์และนายอดุลย์ทำหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิฯ ให้ช่วยติดตามสิทธิการปล่อยตัวชั่วคราวนักโทษการ เมืองในเรือนจำหลักสี่ เท่าที่ทราบขณะนี้มีอยู่ประมาณ 20 คน การพูดคุยวันนี้เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่ากระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ก่อนที่คณะกรรมการสิทธิฯ จะเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิฯ ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.2553 และมีข้อมูลอยู่ระดับหนึ่ง เมื่อเหตุการณ์ผ่านมาเกือบ 3 ปีก็ต้องมาดูรายละเอียดว่ามีอะไรเพิ่มเติมบ้าง ส่วนแนวทางการเยียวยานักโทษส่วนหนึ่งที่ได้รับโทษเกินกว่าที่ศาลตัดสินนั้นจะต้องขอดูข้อเท็จจริงก่อน และตรวจสอบด้วยว่ามีจำนวนมากน้อยเท่าไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.นิรันดร์ พร้อมคณะใช้เวลาเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาประมาณ 1 ชั่วโมงภายหลังเข้าเยี่ยมว่า ได้พูดคุยกับ ผู้ต้องหา 25 คน แต่ละคนบอกว่าถูกกล่าวหาเกินจริง หลังจากนี้จึงต้องตรวจสอบกับสำนวนต่างๆ ในชั้นพนักงานสอบสวน เพราะมีความสำคัญในการเอาความจริงและหลักฐาน มาใช้กับการพิจารณาในชั้นศาล แต่เนื่องจากผู้ต้องหาส่วนใหญ่คดีถึงชั้นศาลแล้ว การช่วยเหลืออาจลำบาก จึงต้องคุยกับทนายว่าจะช่วยอย่างไรได้บ้าง

"หลังจากนี้จะเชิญทนายของแต่ละคนคุย รวมถึงเชิญคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) มาหารือด้วยว่าจะผลักดันเรื่องการประกันตัวอย่างไร และถ้าทำให้ ส.ว. และ ส.ส. เข้าใจได้ว่านักโทษเหล่านี้เป็นเพียงผู้เห็นต่างทางการเมือง ก็อาจออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมมาช่วยเหลือนักโทษทางการเมืองได้" กรรมการสิทธิฯ กล่าว

ส่วนนางพะเยาว์กล่าวว่า ไปร้องคณะกรรมการสิทธิฯ เพราะเห็นว่าประชาชนอยู่ในเรือนจำกว่า 3 ปีแล้ว ทำอย่างไรจึงจะช่วยให้ออกมาได้เร็วขึ้น นอกเหนือจากรอพ.ร.บ. นิรโทษกรรมเพียงอย่างเดียว จึงให้กรรมการสิทธิฯ มาดูสภาพความเป็นอยู่และช่วยให้ได้สิทธิประกันตัว จากการพูดคุยทุกคนอยากขอร้องคนภายนอกว่า อย่ามองพวกเขาเป็นคนไม่ดี ตอนนี้ในหมู่ผู้ต้องหาไม่มีใครพูดเรื่อง สีเสื้อกันแล้ว เพราะทุกสีต่างได้รับความเดือดร้อนเหมือนกัน และเห็นได้ชัดว่าขวัญและกำลังใจของทุกคนดีขึ้นมากหลังจากได้พูดคุยกับกรรมการสิทธิฯ ในวันนี้