ความคิดเห็นต่อปาฐกถาโดยธิดา ถาวรเศรษฐ (1)

ธิดา  ถาวรเศรษฐ
19  ตุลาคม  2556

ปาฐกถาของอดึตผู้นำนักศึกษาคนสำคัญในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนเมื่อ 40 ปีล่วงมาแล้ว  บอกอะไรกับสังคมไทยบ้าง?

คุณเสกสรรค์  ประเสริฐกุล  ให้ความสำคัญแก่การปาฐกถาในวาระครบรอบ 40 ปี 14 ตุลาครั้งนี้  โดยมีการตระเตรียมเอกสารและนำเสนอผลึกความคิดของตนในช่วงเวลานี้  การแสดงปาฐกถาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 13 ตุลาคม ในหอประชุมใหญ่ที่แน่นขนัดไปด้วยคนเสื้อแดง  จึงมีความหมายแปลกใหม่  ทั้งผู้ปาฐกถาและผู้รับฟัง  เพราะผู้ฟังเป็นประชาชนกลุ่มใหม่ของคุณเสกสรรค์และองค์ปาฐกก็ใหม่สำหรับคนเสื้อแดง  และหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ก็เป็นสถานที่ใหม่  สรุปว่าทุกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าและสถานที่ก็เช่นกัน  นี่จึงกล้าหาญทั้งผู้พูด  ผู้ฟัง  และผู้จัดงาน  สำหรับหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ซึ่งร้างลาจากประชาชนมานาน  และกล่าวสำหรับคนเสื้อแดงไม่มีใครสั่ง  แต่ทุกคนเต็มใจใส่เครื่องแบบสีแดงกันเป็นส่วนใหญ่

น่าสนใจที่คุณเสกสรรค์ยอมรับว่าสิ่งที่จะกล่าวไม่ใช่สิ่งใหม่  แต่ทุกคนรวมทั้งผู้เขียนก็สนใจว่าคุณเสกสรรค์  ประเสริฐกุล คิดอย่างไรในสถานการณ์สังคมไทยขณะนี้  หลังจากผ่านการรัฐประหารมาแล้วกว่า 7 ปี  ผ่านการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนและประชาชนถูกจับกุมคุมขังมาแล้วกว่า 3 ปี  คุณเสกสรรค์บรรยายตั้งแต่เจตนารมณ์ 14 ตุลาที่ยังยืนยาวถึงปัจจุบัน  อธิบายแนวคิดประชาธิปไตย  อุปสรรคของประชาธิปไตย  พลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย  ชนชั้นใหม่ที่เกิดขึ้น  คู่ขัดแย้งหลัก  ความผิดพลาดของชนชั้นนำเก่าในการทำรัฐประหาร  และประเมินกำลังคู่ต่อสู้ไม่ถูกต้อง  กล่าวว่าทั้งหมดมิใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้ฟัง  แต่  ผมจำเป็นต้องเอ่ยถึงสภาพดังกล่าวเพื่อบอกพวกท่านว่า  ผมยืนตรงไหน  และคิดอย่างไร  พร้อมทั้งข้อเสนอด้วยมิตรภาพสำหรับพลังประชาธิปไตยใหม่

1.   พลังประชาธิปไตยไม่สามารถจำกัดตัวเองอยู่แค่พิทักษ์รักษารัฐบาลหรือนักการเมืองที่ตัวเองพอใจเท่านั้น  และให้สนใจสิทธิเสรีภาพของประชาชน  และองค์ประกอบต่าง ๆ ของประชาธิปไตยด้วย  (สะพานเชื่อมระหว่างการเมืองภาคประชาชนแบบเดิมกับพลังมวลชนแบบใหม่ในระบบรัฐสภา)
2.   ขยายแนวร่วมหลายชนชั้นและบุคคลต่างกลุ่ม  ขยายพลังประชาธิปไตยด้วยบรรยากาศเสรีนิยม
3.   ให้ขบวนประชาธิปไตยเรียนรู้การใช้อำนาจอ่อนในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมเดิมและมีจังหวะก้าว

ในวันที่สองที่ลานโพธิ์  คุณเสกสรรค์เน้นเรื่องเศรษฐกิจไร้พรมแดน  สรุปว่า
เป็นอุปสรรค์ต่อการขยายประชาธิปไตย
ความแตกต่างทางชนชั้นโดยการเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม
แรงผลักของกระแสโลกาภิวัฒน์ 

น่าสังเกตว่าอุปสรรค์ต่อการขยายประชาธิปไตย 2 วัน  คุณเสกสรรค์พูดต่างกัน 
เดิมกล่าวถึง
1.   อิทธิพลชนชั้นนำภาครัฐที่เคยผูกขาดอำนาจการปกครองมาก่อน
2.   ฐานะครอบงำของวัฒนธรรมอำนาจนิยม
3.   กำลังของฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่คงเส้นคงวา

หรือว่าวันที่สองพูดให้เสื้อเหลืองฟัง  จึงเน้นปัญหาเศรษฐกิจไร้พรมแดนและความเหลื่อมล้ำเป็นหลักว่าเป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตย

เอาเป็นว่าให้ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลเพิ่มเติม  เขาพูดถึงการก่อตัวของอำนาจกลุ่มทุนใหม่ก่อตัวเป็นพันธมิตรทางชนชั้นอันเหลือเชื่อระหว่างกลุ่มทุนใหม่ในยุคโลกาภิวัฒน์กับเกษตรกรในชนบทซึ่งเป็นฐานเสียงขนาดใหญ่ที่สุด  เสกสรรค์ใช้ภาษา  “การเมืองภาคประชาชน”  “การเมืองมวลชนของชนชั้นกลางใหม่”  คุณเสกสรรค์พูดถึงความเหลื่อมล้ำในตัวเลขที่ต่างจากเดิม  แน่นอนว่าการพูดวันที่สองตัวเลขถูกต้อง  (อ้างอิงมติชน 2550)  แต่ผู้เขียนก็ขอเสนอตัวเลขล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

รายได้เฉลี่ยและการถือครองรายได้ของประชากร จำแนกกลุ่มประชากรตามระดับรายได้ (Decile by income) ปี 2554

กลุ่ม 10% ที่ 1 (จนที่สุด)    รายได้เฉลี่ย 1,254  บาท/คน/เดือน
กลุ่ม 10% ที่ 2                  รายได้เฉลี่ย 2,453  บาท/คน/เดือน
กลุ่ม 10% ที่ 3                  รายได้เฉลี่ย 3,119  บาท/คน/เดือน
กลุ่ม 10% ที่ 4                  รายได้เฉลี่ย 3,834  บาท/คน/เดือน
กลุ่ม 10% ที่ 5                  รายได้เฉลี่ย 4,642  บาท/คน/เดือน
                 50% ที่เป็นคนจนรายได้ไม่เกิน 5,000 บาท
กลุ่ม 10% ที่ 6  คนชั้นกลาง รายได้เฉลี่ย 5,652  บาท/คน/เดือน
กลุ่ม 10% ที่ 7  คนชั้นกลาง รายได้เฉลี่ย 6,958  บาท/คน/เดือน
กลุ่ม 10% ที่ 8  คนชั้นกลาง รายได้เฉลี่ย 8,777  บาท/คน/เดือน
กลุ่ม 10% ที่ 9                  รายได้เฉลี่ย 12,123 บาท/คน/เดือน
กลุ่ม 10% ที่ 10 (รวยที่สุด)  รายได้เฉลี่ย 31,478 บาท/คน/เดือน

ถ้าจะพูดถึงคุณเสกสรรค์
 
แน่นอนอาจจะใช้เวลานานเกินไปร่วม 7 ปี สำหรับคุณเสกสรรค์ที่กว่าจะกล่าวปาฐกถาแบบนี้  ถือเป็นความในใจที่เรียบเรียงมาอย่างซื่อตรง (โดยเฉพาะวันแรก)  ได้เนื้อหาและภาษาลึกซึ้งกินใจ  ตั้งใจเรียบเรียงเป็นตัวอักษรก่อนเป็นคำพูดที่อ่านตาม  ดึงดูดคนอย่างไม่น่าเชื่อ  และคนอย่างฟังว่าจะพูดอะไรบ้าง  นำเสนอทางทฤษฎีถึงพลังการต่อสู้คือ ชนชั้นกลางใหม่  วิพากษ์ชนชั้นนำเก่าที่ทำรัฐประหารและดูเบาพลังคู่ต่อสู้  แต่ก็เสนอคู่ขัดแย้งหลักว่าเป็นชนชั้นนำเก่าและชนชั้นนำใหม่  แต่ในวันที่สองก็พูดถึงความเป็นพันธมิตรของทุนใหม่กับมวลชน

นี่คือเชิงทฤษฎีเรื่องที่สองที่เราต้องถกเถียงกันว่าเห็นด้วยไหม?

เรื่องที่สามคือ  บทบาทของทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ต่อสังคมไทย  ทำให้อำนาจนโยบายของรัฐมีพื้นที่น้อยลง  และบทบาทของทุนนิยมเสรีที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากในสังคมไทย  ทั้งหมดนี้ในทางทฤษฎีหลายอย่างก็เห็นตรงกัน  แต่หลายอย่างต้องใช้ข้อมูลให้มากขึ้นจึงจะเห็นพัฒนาการทางสังคม เช่น สัดส่วนคนยากจน (ใต้เส้นความยากจนลดจากปี 2531 ซึ่งมีสัดส่วนถึง 42.21% ของประชากรมาจนถึงปี 2553 ที่เหลือ 7.8% ตัวเลขคนยากจนที่เหลือไม่ถึง 10% ก็คือปี 2547 มี 9.55%) (ตัวเลขที่ใช้เส้นความยากจนแบบเดิม)

ถือเป็นชัยชนะแรกที่มีคนยากจนต่ำกว่า 10% ปัจจุบัน “กลุ่มคนจน 7.8% ใต้เส้นยากจนและกลุ่มเกือบจน” มี 7.6% ของประชากร  รวมกลุ่มคนจนและคนเกือบจนเท่ากับ 10 ล้านคน  ร้อยละ 15.3 ของประชากรทั้งประเทศ

สำหรับสินทรัพย์ทางการเงิน

บัญชีเงินฝาก 10 ล้านบาทขึ้นไปมี 0.09% ของบัญชีทั้งหมด  แต่มีสัดส่วนร้อยละ 41.21 ของมูลค่าเงินฝากรวม

สินทรัพย์ที่ดินที่มีการครอบครองโดยประชาชนทั่วไปมี 120 ล้านไร่  โดยมีคนเพียง 10% ถือครองที่ดินจำนวนนี้มากกว่า 90%

ถ้าดูตามข้อมูลนี้ก็เป็นว่า  คนยากจนลดลงชัดเจนในปี 2549  ที่ต่างจากปี 2543 มีคนจน 20.98%  แต่ 2549 เหลือ 9.55%  (ปี 31 มี 42.21%)  นี่คือช่วงสมัยรัฐบาลไทยรักไทยนั่นเอง  แต่แม้ว่าตัวเลขคนยากจนใต้เส้นความยกจนจะลดลงเป็นลำดับ  แต่สัดส่วนรายได้ประชากรหรือการกระจายรายได้ยังเลวแบบเดิม

10% คนจนสุดมีส่วนแบ่ง    1.56%
10% คนรวยสุดมีส่วนแบ่ง  39.21%

อย่างไรก็ดี  การวิเคราะห์สังคมไทย  วิเคราะห์ชนชั้น  ก็ต้องลงรายละเอียดมากกว่านี้  เพราะต้องศึกษาเปรียบเทียบเพื่อมองเห็นพัฒนาการของสังคมและประชากร

แน่นอน  หลักฐานที่ผู้เขียนนำเสนอก็จะตอบได้ส่วนหนึ่งว่า  คนยากจนจำนวนหนึ่งได้ถีบตัวจากใต้เส้นยากจนมาเป็นเกือบจนและเป็นคนชั้นกลาง

คนจนจากปี 2543 ถึง 2549 ต่างกัน = 20.98% - 9.55% = 11.43% ของประชากร

แต่ถ้านับจากปี 2531 ซึ่งมีคนจนถึง 42.21% (22.1 ล้านคน) มาถึงปี 2553 (22 ปี)  คนเหล่านี้ได้พัฒนามาเป็นคนชั้นกลางได้ถึง (42.21% - 7.8%) 34.41% คิดเป็นจำนวนคนก็มากกว่า 15 ล้านคน  หรือจะถือเป็นชนชั้นกลางใหม่แบบที่คุณเสกสรรค์พูดได้หรือไม่  ที่ผู้เขียนยกมาเพื่อให้หลักการมองประชากรอย่างมีพลวัตรและมีพื้นฐานสถิติ

ในทัศนะผู้เขียนถือว่ากำลังหลักของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคือคนจน, คนเกือบจน และคนชั้นกลาง  ส่วนคนรวยจริง 10% มีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 39.21%/รายได้รวม  รายได้รองลงมาอีก 10% เป็นเจ้าของรายได้ 15.10% (เกือบรวย) รวม 2 กลุ่ม = 54.31% (ปี 2554)

คน 20% มีรายได้คิดเป็นกว่าครึ่งของรายได้ทั้งหมด

ดังนั้นกำลังการต่อสู้นั้นมีมวลชนพื้นฐานผนึกกับชนชั้นกลางได้รวมกันถึงกว่า 70% ขององค์ประกอบในสังคมได้เลย  จะเรียกเป็นชนชั้นกลางใหม่อย่างเดียวในทัศนะผู้เขียนคิดว่ายังไม่ตรงความจริง  แต่ได้รวมกันเป็นพลังผลักดันประชาธิปไตย  น่าจะมีสัดส่วนเกือบถึง 80% ของประชากรทั้งหมด

คนจน 50% ทั้งใต้เส้นความยากจนและเหนือเส้นความยากจนเล็กน้อย  โดยรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 5,000 บาท/คน/เดือน  บวกคนชั้นกลางอีก 30% ที่รายได้เฉลี่ยไม่ถึง 10,000 บาท/คน/เดือน  ก็เป็นคน 80% ที่เป็นพลังประชาธิปไตย

เราต้องการคนทุกชนชั้น  คนยากจนส่วนหนึ่งได้อาศัยนโยบายของรัฐบาลและพัฒนาการของสังคมพร้อมโอกาสใหม่ ๆ  ถีบตัวขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง  ถือได้ว่าเป็นกำลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตย

แต่กำลังหลักเป็นแรงงานนอกระบบที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคเกษตรและแรงงานในเมือง 24.59 ล้านคน (ปี 2554) ในจำนวนนี้มีคนจนเมืองประมาณ 2.7 ล้านคน  คิดเป็น 31.0% ของคนจนทั้งประเทศ  คนเหล่านี้ไร้ความมั่นคงในอาชีพและสวัสดิการ  ยังดีที่นโยบายชุดไทยรักไทยได้ช่วยเขาเหล่านั้นให้ได้สวัสดิการในยามเจ็บป่วยและแก้ไขปัญหาหนี้สินได้ระดับหนึ่ง    แรงงานนอกระบบเหล่านี้ส่วนมากอยู่ในภาคอิสานและภาคเหนือ

นี่จึงเป็นเหตุให้ความปรารถนาแรงกล้าของพวกเขาคือรัฐบาลที่เข้าใจปัญหาความยากจนและด้อยโอกาส  พร้อมที่จะเคียงข้างเขาเพื่อปลดแอกความยากคน  แรงงานนอกระบบเหล่านี้ทุกข์ยากกว่าแรงงานในระบบที่มีสวัสดิการ  มีประกันสังคม  และมีรายได้ที่มีหลักประกันค่าแรงรองรับ

นี่จึงจะเข้าใจได้ว่า  ทำไมการต่อสู้ของผู้ใช้แรงงานนอกระบบในชนบทและในเมืองจึงจะเป็นพลังหลักของการต่อสู้ของประชาชนเพื่อให้ได้อำนาจอธิปไตยที่แท้จริง

โดยประสบการณ์ในฐานะที่เป็นแกนนำร่วมการต่อสู้มาตั้งแต่หลังรัฐประหาร  ผู้เขียนถือว่าพลังหลักของการต่อสู้คือมวลชนพื้นฐาน  คนรากหญ้า  ส่วนมากเป็นคนยากจนเกินกว่า 60% ของผู้ร่วมชุมนุม  ชนชั้นกลางและปัญญาชนร่วมส่วนไม่เกิน 20%  ที่เหลือมีทั้งแกนนำ  ผู้สนับสนุน  เจ้าหน้าที่รัฐ  ผู้สื่อข่าว ฯลฯ  และส่วนที่จำแนกไม่ได้

การที่พลังหลักอยู่ที่มวลชนพื้นฐาน  คนรากหญ้า  ทำให้ความอดทน  การปักใจเด็ดเดี่ยวเพื่อต่อสู้ให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นจึงเป็นความเข้มแข็งของคนเสื้อแดง


นี่เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์จากบางส่วนของปาฐกถาของคุณเสกสรรค์ ประเสริฐกุล