กวนตานาโมเมืองไทย เขียนโดย น.พ.เหวง โตจิราการ

Facebook น.พ.เหวง โตจิราการ


กวนตานาโมเมืองไทย
ผมมีเรื่องสำคัญ จะมากราบเรียนพี่น้องของผมครับ เป็นเรื่องจริง ที่ผมต้องตามเรื่องต่อให้ถึงที่สุดครับ
แต่ต้องขอเก็บชื่อผู้เกี่ยวข้องไว้เป็นความลับ ไม่เช่นนั้น พี่น้องเสื้อแดงของผมท่านนั้น
ต้องถูก "ฆ่าปิดปาก" อย่างแน่นอนครับ
ผมขอเรียกพี่น้องเสื้อแดงคนนี้ของเราว่า “สน” ก็แล้วกันนะครับ

สนรับราชการมายาวนานนับสิบปี เป็นหน่วยรบพิเศษ ร่างกายกำยำบึกบึนมากเคยผ่านสมรภูมิมามากมายทั้งภาคเหนืออิสาน กลาง ใต้ อย่างช่นที่ภูพาน ก็ผ่านมาอย่างโชกโชน

“สน” บอกผมว่า อันที่จริง ที่ราชการเรียกว่า “ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์”นั้นก็คือ “คนไทยด้วยกัน” แต่เขาต้องทำการรบตามคำสั่ง รัฐบาล รับใช้”รัฐบาล”สมัยต่างๆ

เมื่อมีการเคลื่อนไหวเสื้อแดง เขาไปร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดงด้วย ในวันที่ 10 เมษายน 2553 เขาอยู่ที่ถนนดินสอ เขาเห็น “ฮิโรยูกิ มูราโมโต้” โดนยิงร่วงคาตา เห็นเพื่อนหลายๆคน โดนยิงตายต่อหน้าต่อตา
เขากลับบ้านเช้าวันรุ่งขึ้น หลายวัน ต่อมา ญาติของเขาได้ โพสต์รูปของเขาในงานสังคมแห่งขึ้นขึ้นบนอินเตอร์เน๊ต

ซึ่งเขามารู้ทีหลังว่า ภาพของเขา ไปใกล้เคียงกับภาพที่ รัฐบาลมาร์ค กล่าวหาว่าเป็น “ชายชุดดำ”
ดังนั้น

ในเช้าวันที่ 15 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 04.45 น.หน่วยปฏิบัติการพิเศษพร้อมอาวุธครบมือ เข้ามาภายในบ้านเขาที่ดอนเมือง โดยไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา หรือไม่ได้พูดอะไรด้วยซ้ำ

เขาย้อนความจำได้ว่า เขาได้ยินเสียงพวกหน่วยปฏิบัติการพิเศษของรัฐบาลอภิสิทธิ์ถามกันว่า “บ้านนี้ใช่บ้านของ ไอ้สน หรือเปล่า” มีคนตะโกนบอกว่าใช่ ใช่แน่นอน พวกมันก็เข้ามา เขาสังเกตดูจาก ลักษณะการแต่งกาย และการปฎิบัติการของพวกนั้นเเล้ว เขาเชื่อว่า นี่เป็น “ทหารจากหน่วยอากาศโยธิน”
เมื่อจับตัวเขาแล้ว ก็ไพล่หลัง แล้วก็ปิดตาด้วยผ้าดำ พาเขาขึ้นรถ เขาเล่าว่า น่าจะมีรถนำขบวนและรถตามขบวนด้วย พาเขามาได้สักครี่งชั่วโมง ก็เข้าที่พักรอ รอสักหนึ่งชั่วโมงก็พาขึ้นรถ ขับไปได้สัก ชั่วโมงเศษก็ถึงที่หมาย

เขากล่าวว่า สังเกตดูคงจะเป็นเนินเขาเตี้ยๆ ห่างกทม.ประมาณชั่วโมงเศษ(ขับรถ) เขาถูกนำตัวลงไป ใน “หลุมใต้ดิน” เขาบ่งชัดเจน เพราะเขาถูกหย่อนตัวลงไป หลังจากนั้น เขาถูก พันธนาการด้วย ท่อนซุงยาวโดยมัดแขน ให้นาบกับท่อนซุงยาวดังกล่าว อย่างแน่นหนา และก็มัดเท้าไว้แต่ให้ยืนกับพื้นดินได้ โดยท่อนซุงที่มัดเขาถูก โยงขื่อข้างบน

พวก หน่วยปฏิบัติการพิเศษของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ใช้น้ำหยดใส่ศรีษะของเขา แก็เปลี่ยนตำแหน่งหยดลงมาของน้ำไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา เป็นการทรมานที่เหี้ยมโหดทำให้เขาไม่สามารถหลับได้ การฉี่ การอึ ก็ไหลเรี่ยราดตามร่างกาย

พวกนี้นำเอาเครื่องสปาร์กไฟฟ้า มาสปาร์กให้เขาได้ยินเสียง และให้ได้เห็นแสง ทั้งที่เขาถูกมัดตาแน่นหนา แต่ความที่ประกายแสงแรงมากเขาก็เห็นประกายของแสง

ทั้งหมดนี้ พวกหน่วยปฎิบัติการพิเศษ “ซึ่งสนบอกว่า น่าจะเป็นพวกหน่วยทหารอากาศโยธิน”
ต้องการให้เขารับสารภาพว่า “เขาเป็นชายชุดดำ” “เขาใช้อาวุธสงครามไปฆ่าทหารตำรวจประชาชนที่สี่แยกคอกวัว”

แต่เขายืนกรานปฏิเสธ เพราะเขาไม่ใช่ชายชุดดำ เขาไม่ได้ใช้อาวุธสงครามไปยิงใครที่ไหนทั้งสิ้น
พวกนี้พยายามอยู่อย่างต่อเนื่องหลายวัน มีบางคนสงสารเขา แอบนำอาหารมาป้อนเขาบ้าง ในบางครั้ง
ที่บอกว่า “แอบ”เพราะสนเล่าว่า คนป้อน”สั่งให้เขาห้ามพูด ไม่งั้นคนเอาอาหารมาให้ต้องตาย” สนก็เลยไม่พูด

ความที่สน ยืนกราน และอาจจะเนื่องจากสนเคยเป็นหน่วยรบพิเศษมาก่อน ก็เลยทำให้พวกหน่วยพิเศษ ไม่ช๊อตไฟฟ้าสน

สนบอกว่า เวลาผ่านไปกี่วันไม่ทราบเพราะเขาถูกปิดตาอย่างสนิทแน่น เขาคิดว่า สัญชาติญาณแห่งการอยู่รอดทำให้สน ดิ้นอย่างรุนแรง สนเป็นคนร่างกายสูงใหญ่ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆทั้งร่างกาย สนก็พยายามดิ้นหนีตาย จนท่อนไม้ที่ใช้มัดสน(คล้ายไม้กางแขน) หักเป็นหลายท่อน

ทำให้พวกหน่วยพิเศษ เปลี่ยนมาเป็นเอาสนมัดติดเก้าอี้ไพล่หลังปิดตาม ทรมานเช่นเดิม สนสังเกตว่าบริเวณที่เขาถูกขังทรมานนั้น น่าจะอยู่ใต้ดิน เพราะสนสังเกตจากเสียงว่าเวลาพวกผู้คุมจะมาหาเขาต้องมีเสียงคล้ายบันไดพาดลงมาจากข้างบน เข้าใจว่าข้างบนน่าจะเป็นห้องทำงานของพวกผู้คุมโหดดังกล่าว และในห้องรู้สึกร้อนอบอ้าวมาก ได้ยินเสียงคล้ายเสียงเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดังเข้ามาในหัองขังของเขา เขาถูกมัดติดกันเก้าอี้อีกหลายวัน ภายหลังที่พวกเขานำตัวออกมา พวกผู้คุมโหดต้องบอกจังหวะก้าวท้าวให้สนเดินตาม และให้สนใช้มือคลำผนังช่วยเดิน สนบอกว่าความรู้สึกเหมือนเป็นผนังหิน
สนยืนกรานปฏิเสธตลอดมา เพราะเขาไม่ใช่ชายชุดดำ พวกนั้นก็ได้แต่มัดเขาเช่นนี้ เขาบอกว่า หากเป็นคนอื่นอาจจะเสียชีวิตแล้วก็ได้

ต่อมา เขาถูกย้ายไปค่ายแห่งหนึ่งที่หัวหิน ในราววันที่ 4 พฤษภาคม 2553

เขาจึงทบทวนความจำ สรุปได้ว่า เขาถูกขังทรมานในคุกใต้ดินแห่งนั้น ประมาณ 20 วัน
ต่อมา ทางกองปราบมาแจ้งว่า เขาไม่น่าจะใช่ ชายชุดดำ ทางค่ายที่กักขังเขาไว้จึงปล่อยตัวมา ตอนพาตัวออกมาก็มัดตาแน่นไม่สามารถมองเห็นได้ แต่เดาว่า น่าจะเป็นพื้นที่ของกองทัพอากาศ อาจจะแถวกำแพงแสนหรือใกล้เคียงเขาไม่สามารถยืนยันได้

ผมรับทราบเรื่องนี้ เพราะ สน มาขอรับความยุติธรรม ทั้งทางด้าน หลักการนิติรัฐนิติธรรม หลักการยุติธรรม และหลักการเยียวยา จากอนุกรรมการเยียวยาของสภาผู้แทนราษฎรขึ้นกับ กรรมาธิการกฎหมายความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน

ผมเป็นอนุกรรมการเยียวยา คนหนึ่ง จึงเข้าร่วมการประชุม

(ผมจะประชุมอนุกรรมการเยียวยาทุกครั้งที่ไม่ติดธุระสำคัญอย่างอื่น เพราะพี่น้องเราที่ตกหล่น หรือมีความลำบาก หรือได้รับความไม่เป็นธรรมในเรื่องเยียวยา จะมายื่นเรื่องทีอนุกรรมการชุดนี้)
ในวันนี้ 17 กันยายน 2556 เรื่องของ “สน” อยู่ในระเบียบวาระของการพิจารณา ผมจึงได้รับทราบเรื่องราว และต้องนำมากราบเรียนให้พี่น้องเสื้อแดงได้โปรดทราบว่าในเมืองไทย ก็มี “กัวตานาโมประเทศไทยในสมัยมาร์ค-เทือก”

ที่เรียกว่า “กัวตานาโม” ก็คือ กรณีที่กองทัพอเมริกัน ปฏิบัติ ต่อ”เชลยศึก ชาวมุสลิม”ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย หรือพวก ตาลีบัน”อะไรก็แล้วแต่ที่กัวตานาโม นั่นคือ”มัดมือไพล่หลัง ปิดตาสนิท ตรึงร่างกับท่อนซุง ใช้น้ำหยดใส่ร่างกายหรือศรีษะตลอด24ชั่วโมง

ผมฟัง สนเล่าแล้ว ผมคิดถึง “กัวตานาโมประเทศไทย”ขึ้นมาทันที แต่”กัวตานาโมของจริง” นั้น กองทัพอเมริกันทำกับข้าศึกศัตรูของเขาซึ่งโดยธรรมนูญและบทบัญญัติของสหประชาชาติทำไม่ได้นะครับ แม้เป็นข้าศึกที่ต้องการเชือดเนื้อเถือหนังมาปิ้งกินก็ตาม มีคนเอาเรื่องนี้ไปฟ้องสหประชาชาติทำให้ประเทศอเมริกาต้องเลิกการทำเช่นนี้และต้องลงโทษผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่กระทรวงกลาโหมลงมาถึงกองทัพอเมริกัน
แต่นี่เมืองไทย แต่นี่ สน เป็น หน่วยรบพิเศษรบให้กับกองทัพไทย รบให้กับประชาชนคนไทย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายสิบปี ทำไมกระทำกับเขา ยิ่งกว่า “กระทำกับเชลยศึก”เล่าครับ

นี่แหละ “กัวตานาโมประเทศไทย”เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ พวกเราต้องขุดคุ้ยเปิดโปงเรื่องราวเรื่องนี้ออกมาให้หมดเปลือก และต้องตามลากคอ “ผู้บังคับบัญชาระดับสูง”ที่สั่งการให้ปฏิบัติการเช่นนี้มาลงโทษตามกฎหมาย และนายกรัฐมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี.ที่ชื่อ อภิสิทธิ์ สุเทพก็ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย

สน บอกในที่ประชุมว่าเขาได้รับปากกับ ผู้คุมชั้นผู้น้อยว่า จะไม่บอกความลับออกไป เพื่อแลกกับการปฏิบัติที่เบาลง เพราะนายใหญ่เขาไม่มาลงมือด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาต้องรักษาคำมั่นสัญญา ผมบอกเขาว่าเรื่องนี้เป็นเรื่อง”ใหญ่มากของประเทศไทยและประชาชนไทย”เราจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ไม่งั้นก็จะเกิดเรื่องนี้ซ้ำซากอีก ในอดีตก็เคยเกิดอย่างนี้ ที่พัทลุง นครศรีธรรมราชตรังสุราษฎร์ธานี ที่ผมประสบมาด้วยตนเองแล้วคือ “กรณี ถีบลงเขา เผาลงถังแดง”มาแล้ว ในปีพศ.นี้ยังเกิดเรื่องอย่างนี้อีกเลย แล้วปล่อยให้ลอยไปกับสายลมอย่างนี้ เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีก็จะเกิดเรื่องซ้ำอีกปล่อยไว้ไม่ได้ครับ เราไม่ต้องการเอาเจ้าหน้าที่ทหารระดับเล็กมาลงโทษแต่เราต้องการ เอาระดับใหญ่มาลงโทษครับ รวมทั้ง “มาร์ค-เทือก”ด้วยครับ ขอให้สนบอกผู้คุมระดับเล็กได้ว่าไม่เกี่ยวแน่

อีกอย่างเรื่องนี้ เป็นหลักฐานชิ้นใหญ่เลยที่ พิสูจน์กระจ่างชัดว่า “คนเสื้อแดงไม่มีชายชุดดำ ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ” เป็น “นวนิยายที่รัฐบาลมาร์ค-เทือกแต่งขึ้นมาใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง สั่งฆ่าคนเสื้อแดง ด้วยกระสุนหนึ่งแสนสองหมื่นนัด ด้วยกระสุนสไนเปอร์กว่าสองพันแปดร้อยนัด เรื่องนื้ นายมาร์ค-เทือกต้องรับผิดชอบครับ

และเรื่องนี้ต้องไปแถลงในศาลในการไต่สวนเพื่อให้การวินิจฉัย ตามป.วิอาญา150 ของพี่น้องเราที่ถูกฆ่าที่ สี่แยกคอกวัวครับ เพื่อคืนความเป็นธรรมในวีรชนของพวกเราทุกๆคน และกระชากหน้ากาก “จอมโกหกของมาร์ค-เทือก และเอาพวกมันเข้าคุกให้ได้ครับ”
สน เข้าใจดี และยินดีให้ความร่วมมือ

เพื่อนๆครับ ผมรู้สึกว่า ฟ้าโปร่งใสขึ้นมาในทันใด เพราะ จาก เรื่องของ สน เราสามารถตามต่อได้ว่า ใครสั่งการให้กระทำการเช่นนี้กับสน และลากยาวไปถึงมาร์ค-เทือกได้ เป็นการฉีก และ เผา ล้างนิยายโกหก “เรื่องชายชุดดำ”ของพวกมันได้ และเป็นอีกกรณีที่สามารถเอาพวกมันเข้าคุกได้ครับ
มีความคืบหน้าอะไรในเรื่องนี้ผมจะนำมาเล่าให้เพื่อนๆฟังครับ

นพ.เหวง โตจิราการ 17 กย 56. 14.45น.