ทีมข่าว นปช.
11 กันยายน 2556
วันนี้เวลา 13.00 น. เริ่มการแถลงข่าว นปช.แดงทั้งแผ่นดินที่ อิมพีเรียลเวิร์ด ลาดพร้าว ชั้น 5 คุณธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ์ โฆษก นปช. ได้แถลงว่าวันนี้มี 2 ประเด็น คือประเด็นนอกสภาและประเด็นในสภา เริ่มจากนอกสภาที่ขณะนี้ประชาธิปัตย์พยายามปลุกระดมมวลชนทางภาคใต้ เกี่ยวกับเรื่องราคายางพารา ซึ่งขณะนี้พี่น้องชาวสวนยางส่วนมากพอใจกับการที่รัฐบาลจะเยียวยาในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือในเรื่องต้นทุนการผลิตและพร้อม ๆ กับทำอย่างอื่น ไม่น่าจะต่ำกว่า 90 บาท แต่ก็มีกลุ่มคนบางพวกที่เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการจะไปปิดถนน ปิดสนามบิน ปิดด่านที่เปิดระหว่างประเทศที่อยู่ในภาคใต้ คุณธนาวุฒิ จึงได้ฝากบอกไปยังพี่น้องทางภาคใต้ว่าคนส่วนใหญ่ยังรักพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อขบวนม็อบมาปิดถนน ต้องเข้าใจว่าพี่น้องชาวภาคใต้ได้รับความเดือดร้อนประชาธิปัตย์ต้องการล้มรัฐบาลและใช้พี่น้องชาวใต้เป็นเครื่องมือ
สิ่งสำคัญที่จะทำให้ประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้งได้คือ การปรับปรุงตัวหัวหน้าพรรคคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่เอาประเด็นสวนยางมาเล่นแล้วปิดประเทศเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาหรือลาออก คุณธนาวุฒิ แนะนำประชาธิปัตย์ว่า ต้องไปเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค ต้องไปปฏิรูปพรรค หรือไม่ก็ไปเชื่อฟังคำสอน อลงกรณ์ พลบุตร ถ้าทำได้ประชาธิปัตย์ ก็อาจได้เป็นรัฐบาลในอนาคตก็เป็นไปได้
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งคือในรัฐสภา การแก้ไขปัญหา กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในตอนนี้ที่ทำอยู่คือเรื่อง ส.ว. หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งฝ่ายต่อต้านก็ไม่ยอมให้ผ่านได้ด้วยดี ก็ใช้วิธีการต่าง ๆ อย่างที่เราเห็น ใช้ทั้งวิธีที่ สถุน เถื่อน ถ่อย ในสภา ไม่ว่าจะเป็นการลากเก้าอี้ จับเก้าอี้โยน บีบคอ ฉะนั้นฝ่ายต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็น 40 ส.ว.ที่มาจากการสรรหา หรือประชาธิปัตย์ ที่เกื้อกูลอยู่กับเผด็จการก็ตาม ขัดขวางต่าง ๆ นานาไม่ให้รัฐธรรมนูญแก้เสร็จโดยเร็ว
คุณธนาวุฒิ จึงได้ฝากบอกเพื่อนฝูงที่เป็นผู้รักประชาธิปไตยที่เป็น ส.ส. ในสภาว่า ในเมื่อมีกฎหมายสำคัญ ๆ ก็พยายามเข้าประชุมอย่าให้ขาด เพราะบางสิ่งบางอย่างถ้าขาดการประชุมแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญมันจะเสียหาย ล่าช้า และในวันพรุ่งนี้ก็ขอให้คนเสื้อแดง ให้กำลังใจไปถึงตัวแทนที่เป็นประธานรัฐสภาทั้ง 2 ท่านที่ทำหน้าที่อยู่ในเวลานี้ด้วย
และในเวลานี้ขอให้พีน้องเสื้อแดงตั้งอยู่ในที่มั่น เฝ้าดูไปเรื่อย ๆ ว่าในสภาเป็นอย่างไร แต่ว่าถ้าเกิดถึงจุดหนึ่งจุดใดที่จำเป็นจะต้องออกมาเคลื่อนไหว คุณจตุพร, อ.ธิดา, คุณณัฐวุฒิ จะเป่านกหวีดเรียกพี่น้องพร้อมกันทั้งประเทศ และทาง นปช.ก็ได้ปรึกษาหารือกันแล้วว่าจะเปิดเวทีปราศรัยทั่วประเทศ เพื่ออธิบายความจริงให้กับพี่น้อง แต่จะเป็นที่ไหน เมื่อไหร่นั้น เราจะทำเป็นข้อกำหนดและแถลงการณ์ให้กับพี่น้องได้รับทราบกัน ในวันที่ 15 ที่จะถึงนี้ เวทีแรกที่จะต้องไปเปิดคือจังหวัดน่าน "เวทีประชาธิปไตยใฝ่หาความจริง" ณ บริเวณศูนย์การท่องเที่ยวเทศบาลเมืองน่าน ส่วนโรงเรียน นปช.นั้นมีการแก้ไขกำหนดการใหม่คือ วันที่ 22 กันยายน เรามีหลักสูตรผู้ปฏิบัติการครั้งที่ 20 ที่โรงเรียนจอมทองวิทยา ตำบลจอมทอง อำเภอจอมทอง จ.เชียงใหม่ และ วันที่ 13 ตุลาคม โรงเรียน นปช.แดงทั้งแผ่นดินหลักสูตรผู้ปฏิบัติการครั้งที่ 21 ที่วัดพระธาตุดอยสะเก็ด ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ได้แถลงกับพี่น้องเสื้อแดงว่า ตอนนี้พี่น้องหลายคนอยู่ในสถานะที่เฝ้าดูสถานการณ์แปลก ๆ สถานการณ์ที่เกิดในเวทีรัฐสภา อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เคยเห็น คือมีการ "โยนเก้าอี้ในรัฐสภา" เป็นช่วงเวลาที่มีการแสดงออกของสมาชิกรัฐสภา ที่แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำอย่างถึงที่สุด และเป็นช่วงเวลาที่ประธานรัฐสภาถูกดูหมิ่นเหยียดหยามตลอดเวลา นี่คือรัฐสภาไทยในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านเต็มตัว "เข้าใจว่าคงต้องการแสดงออกให้เห็นว่า ฝ่ายค้านในประเทศไทยตอนนี้ชนะที่ 1 ทั่วโลกในการแสดงตัวเป็นอันธพาลในรัฐสภา"
ทางด้านภายนอกรัฐสภา อ.ธิดา กล่าวว่าได้เกิดการเตรียมในการที่จะทำให้เกิดการแสดงออกของมวลชนที่ต่อต้านรัฐบาลโดยมีการชักจูงให้ใช้เรื่องของผลประโยชน์หรือว่าข้อเรียกร้องของประชาชนเข้ามาร่วมการเป็นการต่อต้านทางการเมืองสำหรับรัฐบาล "เราอยากจะแจ้งให้พี่น้องทั้งหลายที่เป็นเกษตรกรทั้งหลายได้มีความเป็นตัวของตัวเอง ต้องเข้าใจด้วยว่าท่านจำนวนหนึ่ง แกนนำเกษตรกรจำนวนหนึ่ง กำลังที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง เพราะฉะนั้นอยากให้พี่น้องที่เป็นเกษตรกรทั้งหลายได้มีข้อเสนอที่มีเหตุผลสมควร และสามารถได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วทั้งประเทศ เสนอโดยตรงต่อรัฐบาลและต้องไม่ทำให้ข้อเรียกร้องของท่านเป็นการทำให้เกิดลักษณะอนาธิปไตยในประเทศหรือการเป็นประเทศที่ล้มเหลว ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้ในฐานะรัฐ ถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็จะเข้าทาง ก็จะทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ต้องมีผู้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ในประเทศ" อ.ธิดากล่าวต่อ "เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าเกษตรกรทั้งหลาย ท่านมีเหตุผลด้วยปัญหาของรายได้และปัญหารายจ่าย ที่ไม่สมดุลกัน อันเนื่องมาจากราคาพืชผลตกต่ำในตลาดโลกและต้นทุนสูง เราถือว่าเรื่องนี้รัฐบาลต้องทำงานระยะยาว ทั้งหมดนี้เหตุผลก็เพราะประเทศนี้ถูกทำให้ชะงักงันด้วยการทำรัฐประหาร ซึ่งกำลังจะครบ 7 ปีภายในไม่กี่วันข้างหน้า 7 ปีที่สูญหาย ไม่มีการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคเกษตรจึงทำให้พี่น้องที่อยู่ในภาคนี้ต้องระทมทุกข์ ด้วยปัญหารายได้และรายจ่ายที่ไม่สมดุล ไม่สามารถดำรงชีพได้ พี่น้องเกษตรกรในประเทศนี้มีมากกว่า 20 กว่าล้านคน คิดแล้วเป็นจำนวนเกินกว่าครึ่งของแรงงานในประเทศนี้ แต่มูลค่าที่ท่านผลิตและส่งออกไปต่างประเทศนั้น ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีในประเทศ นั่นหมายถึงว่ารายได้ของพี่น้องเกษตรกรนั้นมีน้อยมาก จึงจำเป็นที่เราจะต้องทำให้ประเทศนี้สามารถที่จะมีเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อที่จะแก้ปัญหาทางการเกษตรและการผลิตอื่น ๆ รวมทั้งปัญหาอื่น ๆ ในประเทศ เพราะฉะนั้นเราจึงขอเรียกร้องว่า ขอให้ท่านดำเนินการที่มีเหตุผล ได้ประโยชน์และไม่ทำให้ประเทศนี้เสียหาย และเราก็หวังว่ารัฐบาลนี้จะจัดการปัญหานี้ได้อย่างถูกต้อง ไม่มีการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนเหมือนกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในอดีต"
อีกประเด็นหนึ่ง ก็เป็นประเด็นที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่ว่าองค์ประกอบของประชาชนในประเทศนี้มีชายและหญิง เราไม่อยากให้วาทะกรรมของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้ผู้หญิง ส.ส.ผู้หญิงพรรคประชาธิปัตย์ออกมาราวีกับ ส.ส.หญิงหรือนายกหญิง พูดง่าย ๆ ว่ามีผู้ชายแย่ ๆ คนหนึ่งแล้วทำให้ผู้หญิงทะเลาะกันนั้นมันไม่ถูก และที่สำคัญก็คือว่าการที่ ส.ส.หญิงของพรรคเพื่อไทยกระทั่งออกมาต่อว่าหรือมอบผ้าถุงใหม่ ๆให้ อ.ธิดา ว่า “ไม่เหมาะสม ผ้าถุงมันก็ดีเกินไปสำหรับให้ อภิสิทธิ เวชชาชีวะ เพราะผ้าถุงมันคือเครื่องแต่งตัวดี ๆ ของผู้หญิง ไม่จำเป็น มันสูงส่งเกินไปสำหรับ อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ถ้าจะให้ควรจะเป็นผ้าขี้ริ้วเอาไว้เช็ดน้ำลาย เอาไว้เช็ดน้ำลายดีกว่าเพราะว่าน้ำลายยังเป็นพิษเลย”
ประเด็นที่ 2 คือนี่เป็นเวลาใกล้ 19 กันยา แปลว่ารัฐประหารประเทศไทยกำลังจะครบ 7 ปี ขอแจ้งมายังพี่น้องว่าเวลานี้ยังเป็นเวลาสงครามที่ยังไม่สิ้นสุด สงครามนี้ยังไม่สิ้นสุด มีการพักรบบ้าง มีการเลือกตั้งบ้างแต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบัน ไม่ว่าในรัฐสภา นอกรัฐสภา ล้วนบ่งชี้ว่ายังเป็นการต่อสู้ที่ต่อเนื่อง กระทั่งการนิรโทษกรรม เขาก็ไม่ยอมที่จะให้เกิดขึ้น การแก้รัฐธรรมนูญก็ทำไม่ได้ การบริหารประเทศก็ทำไม่ได้ ทั้งนี้จุดมุ่งหมายก็คือการไม่ยอมแพ้ ในเวทีที่ตัวเองแพ้นั่นเอง เมื่อไม่ยอมแพ้ก็ต้องทำทุกอย่าง ซึ่งพวกเราไม่คิดว่าจะทำได้ เพราะฉะนั้นอยากให้พีน้องไม่ประมาท แล้วไม่ใช่ไม่ประมาทแล้วนั่นอยู่เฉย ๆ เรานั่งดู เราวิพากวิจารณ์ แต่สิ่งสำคัญก็คือเราต้องแข็งแรง ความแข็งแรงของประชาชนเท่านั้น จึงจะเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีการรัฐประหารด้วยกองทัพอีกต่อไป ถ้าประชาชนไม่เข้มแข็ง เขาจะทำเมื่อไหร่ก็ทำได้ เพราะว่าการทำรัฐประหารนั้นอาจจะง่ายก็จริง เช่นเอารถถังหรือเอาปืนออกมาอาจจะสยบได้ แต่คำถามก็คือ หลังจากนั้นแล้วเป็นไง คุณจะปกครองประเทศได้หรือไม่ คุณจะปกครองประเทศที่ประชาชนไม่ยอมให้ปกครองได้หรือไม่ นื่คือการต่อสู้ของประชาชน เพราะฉะนั้นความเข้มแข็งของประชาชน จึงเป็นหลักประกันอันเดียว แม้นว่าการรัฐประหารแบบอื่นอาจจะมี และมีการชี้นำ เช่นผู้ที่ลาออกจากตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้ออกมาชี้ก็ตาม การรัฐประหารแบบอื่น หรือการใช้กระบวนการยุติธรรมมาจัดการกับฝ่ายประชาธิปไตยก็เป็นได้ แต่ว่าหลักประกันที่แน่นอน คือความเข้มแข็งของประชาชน “นปช.เกิดขึ้นก็เพราะเราต้องการต่อต้านรัฐประหาร เราต้องการประชาธิปไตยในประเทศนี้ และถ้าแม้นว่าประเทศนี้ มีประชาธิปไตยที่แท้จริง นปช.ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องดำรงอยู่ก็ได้ แต่คำถามนั้นคือ มันจะมาถึงเมื่อไหร่ที่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง ตราบเท่าที่ประชาธิปไตยที่แท้จริงยังไม่เกิด ที่สำคัญที่สุดก็คือความเข้มแข็งของคนเสื้อแดง เพราะฉะนั้น นปช.ขอเรียกร้องต่อพี่น้องประชาชน รวมทั้งคนเสื้อแดงว่า สิ่งที่เราต่อสู้ไม่ใช่เพื่ออะไร ก็เพื่อให้ประเทศนี้ก้าวต่อไปข้างหน้า และเกิดประชาธิปไตยและมีความยุติธรรมในแผ่นดินนี้ นี่คือปณิธานของคนเสื้อแดงและประชาชนไทย”
สุดท้ายประเด็นการปฏิรูปหาทางออกประเทศ อ.ธิดาสรุปว่า “แม้นเราจะตระหนักว่านี่เป็นภาวะสงครามที่ไม่สิ้นสุด แต่ว่า นปช.และคนเสื้อแดงไม่ได้สู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เพราะฉะนั้นท่ามกลางการเดินไปในการต่อสู้ เราต้องมองไปข้างหน้าว่าเราจะเดินไปที่ไหน ไปอย่างไร เป้าหมายของเราคืออะไร เพราะฉะนั้นการปฏิรูปหาทางออกของประเทศ เรายินดีที่จะร่วมมือในการที่จะทำให้ประเทศนี้หลุดพ้นจากความเสียหาย ที่ถูกระบอบอำมาตย์ทำมายาวนาน และเรายินดีที่จะก้าวไปข้างหน้าก้าวไปด้วยกันทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การหาทางออกของประเทศนั้น มีประสิทธิภาพจริง ๆ เราจึงขอจัดให้เป็นเวทีประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ และเราจะตั้งคณะทำงานทางด้านการเมือง ทางด้านเศรษฐกิจ และทางด้านสังคม เพื่อสร้างพิมพ์เขียวประเทศไทยในฐานะประชาชน ไม่ใช่ในฐานะของพรรคการเมือง และเราก็เชื่อว่าประเทศนี้จะสามารถมีทางออกไปได้ก็ด้วยประการเดียว ก็เมื่อประชาชนเข้มแข็งและเป็นใหญ่จริง ๆ”