ทีมข่าว นปช.
7 สิงหาคม 2556
"การนิรโทษกรรมในประเทศไทย อดีตและปัจจุบัน"
จากบทความของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. (แดงทั้งแผ่นดิน) เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2556
ในคดีอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง
ถ้ายึดเอาการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทยในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.
2475 เป็นหลักกิโลเมตรแรก
เราจะพบว่าพอเริ่มต้นก็มีพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน
2475 ประกาศ ณ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ทันที มี 3 มาตรา
ก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยเสียอีก โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนด โดยมี 3 มาตราที่สำคัญคือ
มาตรา 3 บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นเหล่านั้น
ไม่ว่าของบุคคลใด ๆ ในคณะราษฎรนี้
หากว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมายใด ๆ ก็ดี
ห้ามมิให้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายเลย
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
ปิดสภาผู้แทนราษฎร
มีพระราชกฤษฎีการอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ถือเป็นการยึดอำนาจโดยรัฐบาล
(รัฐประหารเงียบ) จากนั้นเมื่อพันเอก
พระยาพหลพลพยุหเสนา, พันโท หลวงพิบูลสงคราม, นาวาโท หลวงศุภชลาศัย
ได้ทำรัฐประหารเพื่อเปิดสภา (ล้มล้างรัฐประหารเงียบ) เมื่อ 20 มิถุนายน 2476
ก็เสนอพ.ร.บ.นิรโทษกรรมในการยึดอำนาจเมื่อ 20 มิถุนายน 2476 แก่ตัวท่านเอง
ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรก็ลงมติรับหลักการและอนุมัติให้ประกาศเป็นกฎหมายได้ในวันที่
22 มิถุนายน 2476
พร้อมกับเสนอร่างพ.ร.บ.ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาที่ให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่
1 เมษายน 2476
(การทำรัฐประหารของพระยาพหลพลพยุหเสนาอ้างว่าเพื่อเปิดสภาให้เลือกคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นำรัฐธรรมนูญกลับมาใช้ทุกมาตรา)
คำถามว่า
กรณีพระยามโนปกรณ์นิติธาดากระทำการรัฐประหารเงียบ
หลังจากพระยาพหลพลพยุหเสนายึดอำนาจคืนกลับมามีการทำอะไรบ้าง ขณะนั้นนักเรียนกฎหมาย 400
คนได้ยื่นเรื่องขอให้พิจารณาโทษพระยามโนปกรณ์นิติธาดาในการปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญ แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
ได้มีหนังสือถึงพระยาพหลพลพยุหเสนาว่า “เรื่องแล้วไปแล้ว อย่าให้มีอะไรกันเลย”
หลังการกลับมาของ
ดร.ปรีดี พนมยงค์เมื่อ 1 ตุลาคม 2476 จากนั้นก็มีกบฏบวรเดช, กบฏนายสิบ กบฏต่าง ๆ
เหล่านี้ไม่ได้มีการนิรโทษกรรม
มาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ได้ออกพ.ร.บ.อนุมัติพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดฐานกบฏและจลาจล
พ.ศ. 2488 โดยผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ควง
อภัยวงค์ นายกรัฐมนตรี และเวลาติดต่อกันในปีพ.ศ. 2489
ก็ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการต่อต้านการดำเนินการสงครามของญี่ปุ่นพ.ศ. 2489
โดยอ.ปรีดี
พนมยงค์เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในฐานะนายกรัฐมนตรี
หลังการกลับมาของ
ดร.ปรีดี พนมยงค์เมื่อ 1 ตุลาคม 2476 จากนั้นก็มีกบฏบวรเดช, กบฏนายสิบ กบฏต่าง ๆ
เหล่านี้ไม่ได้มีการนิรโทษกรรม
มาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ได้ออกพ.ร.บ.อนุมัติพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดฐานกบฏและจลาจล
พ.ศ. 2488 โดยผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ควง
อภัยวงค์ นายกรัฐมนตรี และเวลาติดต่อกันในปีพ.ศ. 2489
ก็ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการต่อต้านการดำเนินการสงครามของญี่ปุ่นพ.ศ. 2489
โดยอ.ปรีดี
พนมยงค์เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในฐานะนายกรัฐมนตรี
แต่นับจากปีพ.ศ.
2490 มา ส่วนมากเป็นการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ทำการรัฐประหารเองเป็น
8 ครั้ง รวมถึงปีพ.ศ. 2549 ด้วย และนิรโทษกรรมให้ทหารที่เป็นกบฏ 5 ครั้ง ปี 2488 (2 ฉบับ), ปี 2520, ปี 2524, 2528-2531 ที่น่าสนใจคือให้ประชาชนรวม ๆ 7 ครั้ง ซึ่งก็นับของอ.ปรีดีด้วย
ที่น่าสนใจมากคือ
ก.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
นักเรียน นิสิต นักศึกษา
ประชาชน
ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเดินขบวนเมื่อ 13 ตุลาคม 2516
โดยนายสัญญา ธรรมศักดิ์ รับสนองพระบรมราชโองการ
ข.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลับธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่
4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ออกเมื่อ 2521 โดยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการ
ค.
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์พ.ศ.
2532 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการคือ
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี
ง.
และพ.ร.ก.นิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดระหว่างวันที่
17 พ.ค. ถึง 21 พ.ค. 2535
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการคือ พลเอกสุจินดา คราประยูร
อันที่จริงการทำนิรโทษกรรมให้ประชาชนรวมมี 7 ฉบับนับตั้งแต่พ.ศ. 2489
นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการต่อต้านการดำเนินการสงครามของญี่ปุ่น
รับสนองพระบรมราชโองการโดย ดร.ปรีดี
พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี
และพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2499, ในโอกาสครบ
พุทธศตวรรษ พ.ศ. 2502
สำหรับการนิรโทษกรรมแก่กบฏและจลาจลมีรวม 5 ฉบับ และนิรโทษกรรมแก่คณะรัฐประหารเองรวมปีพ.ศ. 2549
มี 8 ฉบับ นอกนั้นเป็นเรื่องอื่น ๆ คือ
พ.ร.ก. เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พุทธศักราช 2475 หรือ
พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
การจัดการให้คณะรัฐมนตรีลาออกเพื่อให้มีการเปิดสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ
พ.ศ. 2476 และพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ได้นำรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2475 กลับมาใช้พ.ศ.
2494 นั่นเป็นเรื่องในอดีตที่มีการนิรโทษกรรมมามากมาย
แม้จะเป็นรัฐบาลธรรมดาหรือคณะรัฐประหารก็ตาม แต่หันมาดูสถานการณ์ปัจจุบัน
ปัญหาที่น่าสนใจคือ
คำถามว่าการออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 184, 185
หรือไม่ นักการเมือง, นักวิชาการบางท่าน
และพวกที่เป็นปฏิปักษ์จะแย้งว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 184 ที่ตีความว่า เรื่องนี้ไม่เข้ากับความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ และไม่ใช่กรณีฉุกเฉินเร่งด่วน แต่เราตีความว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน
เป็นเรื่องป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะและความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง
สังคม
เป็นกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ตามมาตรา 184
วรรคหนึ่งและวรรคสองที่เป็นเรื่องเร่งด่วน
และถ้าจะคัดค้านตามมาตรา 185 โดยส.ส.หรือ ส.ว.
หนึ่งในห้าของแต่ละสภามีสิทธิเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานสภาว่าไม่เป็นไปตามมาตรา
184 ศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยว่าไม่เป็นไปตามมาตรา 184 ก็จะทำให้พ.ร.ก.ไม่มีผลบังคับมาแต่ต้น แปลว่าทำให้ผู้ไม่ต้องรับผิดกลายเป็นผู้รับผิด บางส่วนเข้าคุกเหมือนเดิม
และที่ถูกพิพากษาหรือสวบสวนก็กลับไปสถานะเดิม เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้คัดค้านและศาลรัฐธรรมนูญ
หน้าที่ของประชาชนและผู้มีจุดยืนฝ่ายประชาชนคือทำในสิ่งถูกต้อง ไม่เช่นนั้นท่านจะต้องไม่ทำอะไรเลย เพื่อปลอดภัยจากระบอบอำมาตย์ที่ทำการควบคุมกลไกรัฐและควบคุมฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ
รวมทั้งควบคุมประชาชนทุกวิถีทางที่ไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชน
คำถามคือที่อยู่กันทุกวันนี้อยู่เพื่อยังประโยชน์ให้ตนเอง, พรรคพวกระบอบอำมาตย์เท่านั้นเองหรืออย่างไร? ฝ่ายประชาชนในส่วนนปช.ได้ยื่น
1.
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญค้างเติ่งอยู่ในรัฐสภา โดยประชาชนร่วมแสนคนลงชื่อ
2.
ร่างพ.ร.บ.ปรองดองฉบับประชาชน โดยส.ส.แกนนำเสื้อแดงนำเสนอก็แขวนค้างเติ่ง
3.
ยื่นถอดถอนตุลาการรัฐธรรมนูญ โดยประชาชนเซ็นชื่อกว่า 5
หมื่นคนไปยังวุฒิสภา ตอนนี้อยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
ก็ยังค้างอยู่
4.
ร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่ได้รับโทษในคดีอาญาอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองพ.ศ.2550
ถึงพ.ศ. 2554 เป็นเรื่องล่าสุด
แม้กระทั่งทำจดหมายเปิดผนึกถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตรวจสอบและขอให้อธิบายคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่
18-22/2555 ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความพยายามขององค์กรประชาชนที่ต้องการหาทางออกให้กับประเทศ ให้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร
และอำนาจตุลาการเดินหน้าไปได้
ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
สร้างความสามัคคีของประชาชนไทยทั้งประเทศ
โดยลดความทุกขเวทนาของประชาชนที่ถูกกระทำอันเนื่องจากอคติแห่งการแบ่งแยกเป็นฝ่าย
ถ้าแม้นความพยายามไม่บรรลุผลสำเร็จ
ก็ขอเรียกร้องให้ประชาชนฝ่ายต่าง ๆ
ตรวจสอบการกระทำว่าแท้จริงแล้วคนกลุ่มใด?
องค์กรใด? คืออุปสรรคขัดขวางความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเกิดจากความผาสุขของประชาชนทั้งหมด ไม่ใช่ความมั่นคงที่เป็นความผาสุขของคนกลุ่มเดียว
ก็ต้องถือเป็นก้าวย่างใหม่ของการต่อสู้ของประชาชนที่จะสามัคคีผนึกกำลังกันยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ฝ่ายอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน
จำเป็นต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ประชาชนพึงพอใจที่สามารถเดินหน้าปลดทุกขเวทนาของประชาชน และนี่เป็นเรื่องทั้งสำคัญและเป็นเรื่องด่วน