ดีเอสไอจ่อแจ้งข้อหา"มาร์ค -สุเทพ"อีกหลังศาลสั่งคดี 6 ศพวัดปทุมฯ

ข่าวสด 6 สิงหาคม 2556



เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ ในฐานะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุการณ์สลายการชุมนุม ปี 2553 จำนวน 99 ศพ


นายธาริตกล่าวว่า กรณีศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อ่านคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพ กรณีถึงแก่ความตายของผู้ตายทั้ง 6 ที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร สืบเนื่องจากการชุมนุมบริเวณถนนพระรามที่ 1 คดีสืบเนื่องจากดีเอสไอได้ส่งสำนวนชันสูตรไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพการตายของผู้ตายทั้ง 6 ศพในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นการตายที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ โดยขอให้ศาลทำการไต่สวนและมีคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน ตามเมื่อใด เหตุและพฤติการณ์ที่ตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150


นายธาริตกล่าวต่อว่า ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและญาติผู้ตายทั้ง 6 อันประกอบด้วยประจักษ์พยาน พยานแวดล้อมกรณี และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้ตายที่ 1 นายสุวัน ศรีรักษา ผู้ตายที่ 3 นายมงคล เข็มทอง และผู้ตายที่ 6 นายอัครเดช ขันแก้ว ถึงแก่ความตาม เพราะถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ขนาด .223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร จากเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ ที่ประจำการอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส และผู้ตายที่ 2 นายอัฐชัย ชุมจันทร์ ถึงแก่ความตายเพราะถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ขนาด .223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร จากเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารที่ 31 รักษาพระองค์ ที่ประจำการอยู่บนถนนพระรามที่ 1


นายธาริตกล่าวต่อว่า ศาลจึงมีคำสั่งว่า ผู้ตายที่ 1 นายสุวัน ผู้ตายที่ 2 นายอัฐชัย ผู้ตายที่ 3 นายมงคล ผู้ตายที่ 4 นายรพ สุขสถิตย์ ผู้ตายที่ 5 นางสาวกมนเกด อัคฮาด และผู้ตายที่ 6 นายอัครเดช ถึงแก่ความตายในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลากลางวัน เหตุและพฤติการณ์ที่ตาย สืบเนื่องมาจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงขนาด .223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร หรือเอ็ม 16 ซึ่งวิถีกระสุนปืนยิงมาจากเจ้าพนักงาน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร และบริเวณถนนพระรามที่ 1 ซึ่งเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.


นายธาริตกล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ตายที่ 1 มีบาดแผลกระสุนปืนทะลุปอดและหัวใจ เสียโลหิตปริมาณมาก ผู้ตายที่ 2 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด ผู้ตายที่ 3 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด หัวใจ ตับ ผู้ตายที่ 4 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด ตับ ผู้ตายที่ 5 มีบาดแผลกระสุนปืนทำลายสมอง ผู้ตายที่ 6 มีบาดแผลกระสุนปืนทะลุเข้าในช่องปาก ถึงแก่ความตาย โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือยิง เพราะทหารมีจำนวนมาก


นายธาริตกล่าวอีกว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับดีเอสไอโดยตรง ภายหลังจากศาลมีคำสั่งแล้ว สิ่งที่ดีเอสไอต้องดำเนินการคือการสอบสวนเพื่อหาผู้กระทำความผิด เนื่องจากคำสั่งของศาลมีรายละเอียดและสาระสำคัญทำนองเดียวกับกรณีของนายพัน คำกอง อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นแนวโน้มที่ดีเอสไอต้องดำเนินการต่อไปก็คือ มีความจำเป็นต้องดำเนินการสืบเนื่องคำสั่งของศาล ซึ่งที่ระบุแล้วว่าทั้ง 6 คนไม่ได้เสียชีวิตจากตายธรรมชาติ แต่ตายผิดธรรมชาติ ด้วยกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง ศอฉ. เมื่อเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ดีเอสไอต้องหาผู้รับผิดชอบกับการตาย และกรณีดังกล่าวเป็นลักษณะเดียวกับนายพัน คำกอง ดังนั้น แนวโน้มที่ดีเอสไอจะทำคดีเดียวกับคดีแรก ที่ทำสำนวนสั่งฟ้องไปยังอัยการแล้ว คือจะมีการทำงานร่วมกัน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย อัยการ ดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ


นายธาริตกล่าวต่อว่า จะแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 2 ที่เกี่ยวข้องกับการออกคำสั่ง ศอฉ.โดยตรงคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศอฉ.ในข้อหาก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล และเมื่อแจ้งข้อหาแล้ว ก็มีแนวโน้มเหมือนคดีแรกที่พนักงานสอบสวนมีคำสั่งฟ้องบุคคลทั้งสองส่งไปยังพนักงานอัยการเช่นกัน


นายธาริตกล่าวว่า เชื่อว่าจะสามารถดำเนินคดีนี้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะพยานหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นทำนองเดียวกันกับคดีแรกและพยานที่เกี่ยวกับการใช้กำลังใช้อาวุธ การใช้กระสุนจริง เป็นพยานชุดเดียวกัน ส่วนห้วงเวลายังไม่สามารถระบุได้ เพราะการที่จะได้ตัวทั้งสองเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดี ต้องรอให้ปิดสมัยประชุมสภาเสียก่อน


"ผมไม่กังวลด้วยว่าการที่ผมแถลงวันนี้จะนำไปสู่การฟ้องคดีของบุคคลทั้งสองคน หรือคนของพรรคประชาธิปปัตย์ จะทำงานแบบตรงไปตรงมาแบบนี้เหมือนเดิม และผมเชื่อว่าต้องมีการฟ้องร้องผมแน่ แต่ผมไม่สนใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของดีเอสไอโดยตรง ถึงผมไม่บอกว่าจะดำเนินคดีกับใคร ก็ต้องมีคนถามผมอยู่แล้ว มันไม่มีทางเลือกก็ว่ากันไป ผมก็ต้องแถลงทั้ง 39 ศพ จะฟ้องผมทั้ง 39 ศพก็เชิญ ไม่เป็นไร" นายธาริตกล่าว


นายธาริตกล่าวต่อว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ทหารก็มีแนวโน้มว่าดีเอสไอจะดำเนินการเช่นเดียวกับคดีแรก คือถือว่าเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง ศอฉ.ก็จะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 70 ตามประมวลกฎหมายอาญา โดยดีเอสไอจะไม่ดำเนินคดีกับฝ่ายทหาร


ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีศาลมีคำสั่งว่าไม่มีชายชุดำในวัดปทุมวนาราม จะเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีหรือไม่ นายธาริตกล่าวว่า ในรายละเอียดของคำสั่งศาลมีการระบุว่า ไม่มีชายชุดดำปะปนบริเวณที่เกิดเหตุเลย เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ชัดเจนมาก ดังนั้น ข้อต่อสู้ของผู้ต้องหาทั้งสองที่ใช้ต่อสู้ในคดีแรกคงไม่มีน้ำหนักในการต่อสู้คดี 6 ศพ เพราะคดีนี้ศาลมีรายละเอียดชัดเจนในประเด็นดังกล่าวต่างจากกรณีแรก


ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีการส่งสำนวนไต่ส่วนจากศาลส่งมายังดีเอสไอแล้วจำนวนเท่าไหร่ นายธาริตกล่าวว่า ตอนนี้มีแล้วจำนวน 5 ศพ และล่าสุดกรณีนี้ 6 ศพ รวม 11 ศพ สำหรับสำนวนที่ส่งให้ศาลไต่ส่วนทั้งสิ้น 39 ศพ (ที่มา : มติชนออนไลน์)